หมอประจำบ้าน: ศีรษะได้รับบาดเจ็บ (Head injury/Traumatic brain injury) เลือดออกในสมอง (Intracranial hemorrhage)ศีรษะได้รับบาดเจ็บ (บาดเจ็บที่ศีรษะ ก็เรียก) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
ถ้าการบาดเจ็บรุนแรงไม่มาก ผู้ป่วยอาจมีอาการหัวโน ฟกช้ำที่หนังศีรษะ แผลฉีกขาดหรือแผลถูกตัดที่ศีรษะ หรือกะโหลกศีรษะร้าวหรือแตก โดยไม่กระทบต่อสมอง
แต่ถ้าการบาดเจ็บรุนแรงมาก มักมีผลกระทบต่อสมอง เกิดอาการผิดปกติทางสมอง (เรียกว่า "สมองได้รับบาดเจ็บ/บาดเจ็บที่สมอง" หรือ "Traumatic brain injury/TBI") ซึ่งเกิดขึ้นได้หลายลักษณะ ได้แก่ สมองได้รับการกระทบกระเทือน สมองฟกช้ำหรือฉีกขาด ก้อนเลือดในกะโหลกศีรษะ (ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดในกะโหลกศีรษะฉีกขาด ทำให้มีเลือดออกในสมอง*) ส่งผลให้มีการทำลายเนื้อสมองส่วนต่าง ๆ เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ไปตามส่วนของสมองที่ถูกกระทบ
ถ้าสมองส่วนสำคัญได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ก็อาจทำให้เกิดอาการหมดสติ หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ แขนขาเป็นอัมพาต ชัก เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตหรือพิการได้
* เลือดออกในสมอง อาจเกิดที่เยื่อหุ้มสมอง หรือในเนื้อสมองก็ได้ มักเกิดจากศีรษะได้รับบาดเจ็บเป็นส่วนใหญ่
ส่วนในรายที่ไม่มีประวัติการได้รับบาดเจ็บ อาจเกิดจากมีสาเหตุอื่น เช่น หลอดเลือดสมองแตกจากโรคความดันโลหิตสูง โรคเลือดที่มีภาวะเลือดออกง่าย ภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง ภาวะเลือดออกที่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน) หรือยากันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น วาร์ฟาริน) เป็นต้น (ดู "โรคหลอดเลือดสมอง")
ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะที่มีสาเหตุจากการบาดเจ็บที่สมอง
สาเหตุ
การบาดเจ็บมักเกิดจากอุบัติเหตุที่สำคัญ ได้แก่ อุบัติเหตุจราจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุที่เกิดกับผู้ขับขี่รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ (พบบ่อยในผู้ที่มีพฤติกรรมขับขี่รถขณะมึนเมา และไม่คาดเข็มขัดนิรภัยหรือสวมหมวกนิรภัย)
นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการตกจากที่สูง ตกบันได หกล้มศีรษะกระแทกถูกของแข็ง อุบัติเหตุจากการปั่นจักรยาน การเล่นกีฬา หรือการทำงาน การทำร้ายร่างกาย ในทารกแรกเกิดก็อาจมีการบาดเจ็บของศีรษะจากการคลอดยาก เป็นต้น
อาการ
นอกจากบาดแผลหรืออาการฟกช้ำที่หนังศีรษะแล้ว ผู้ป่วยอาจแสดงอาการได้หลายลักษณะ ขึ้นกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสมอง ดังนี้
1. สมองได้รับการกระทบกระเทือน (brain concussion) เกิดจากศีรษะได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง (เช่น เกิดเหตุรถชนขณะขับมาด้วยความเร็ว ศีรษะถูกกระทบกระแทกขณะเล่นกีฬา) ทำให้เนื้อสมองส่วนต่าง ๆ ในกะโหลกเกิดการกระทบกระเทือน ส่งผลให้ทำงานผิดปกติไปชั่วคราว โดยที่การบาดเจ็บนั้นไม่ได้ทำให้เกิดการฟกช้ำและการฉีกขาดของเนื้อสมอง หรือทำให้มีเลือดออกในสมอง
ผู้ป่วยอาจมีอาการทางสมองอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน อาจมีอาการเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุทันที หรือหลังเกิดเหตุเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ โดยอาจมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน มีเสียงในหู (หูอื้อ) เห็นภาพซ้อน มีความรู้สึกไวต่อแสงหรือเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส คลื่นไส้ เป็นลม อ่อนล้า เซื่องซึม สับสน หลง ๆ ลืม ๆ ขาดสมาธิ นอนหลับยาก บุคลิกเปลี่ยนไปจากเดิม (หงุดหงิดง่าย อารมณ์แกว่งง่าย)
ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการหมดสติหลังการบาดเจ็บ ซึ่งจะเป็นอยู่เพียงชั่วครู่ ประมาณ 2-3 นาที หรือมากกว่า (น้อยรายมากที่อาจหมดสตินานเกิน 15 นาที) เมื่อฟื้นแล้วอาจรู้สึกงุนงง จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นอยู่เพียงชั่วขณะหรือเป็นวัน ๆ
อาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ หายไปได้เองใน 2-3 วัน หรือเป็นสัปดาห์ ๆ
บางรายอาจมีอาการต่อเนื่องนานเป็นเดือน ๆ หรือเป็นปี ๆ ที่พบบ่อยคือ มีอาการปวดศีรษะ อ่อนล้า มีความรู้สึกไวต่อแสงหรือเสียง หลง ๆ ลืม ๆ ขาดสมาธิ นอนหลับยาก หรือบุคลิกเปลี่ยนไปจากเดิม โดยอาจมีอาการเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งอย่างก็ได้ ภาวะดังกล่าวเรียกว่า "กลุ่มอาการหลังสมองได้รับการกระทบกระเทือน (post-concussion syndrome/PCS)"
สมองได้รับการกระทบกระเทือน นับว่าเป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และไม่ทำให้เสียชีวิต
2. สมองฟกช้ำ (brain contusion ซึ่งมักเกิดจากศีรษะได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง) หรือสมองฉีกขาด (brain laceration ซึ่งมักเกิดร่วมกับกะโหลกศีรษะแตก และมีเศษกระดูกยุบไปทิ่มตำเนื้อสมอง)
ถ้ารอยโรคมีขนาดเล็กมาก มีผลกระทบต่อสมองเพียงเล็กน้อย ก็จะมีอาการทางสมองไม่มาก (เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน มีเสียงในหู เห็นภาพซ้อน มีความรู้สึกไวต่อเสียงหรือแสง คลื่นไส้ เป็นลม อ่อนล้า เซื่องซึม สับสน หลงลืม ขาดสมาธิ นอนไม่หลับ) ซึ่งจะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง
ถ้ารอยโรคมีขนาดใหญ่ หรือรอยโรคมีขนาดเล็กแต่ทำให้สมองบวมหรือมีเลือดออก ก็จะมีอาการทางสมองที่รุนแรง ผู้ป่วยมักมีอาการหมดสติเป็นเวลาสั้น ๆ (ประมาณ 2-3 นาที) หรือมากกว่า เมื่อฟื้นแล้วมักมีอาการเซื่องซึม สับสน กระสับกระส่าย หรือกระวนกระวาย บางรายอาจมีอาการชัก สูญเสียการทรงตัวหรือการประสานงานของกล้ามเนื้อ อาเจียน แขนขาเป็นอัมพาตครึ่งซีก ปากเบี้ยว พูดอ้อแอ้หรือพูดไม่ได้ ตาพร่ามัวหรือเห็นภาพซ้อน หูตึง หรือจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส บางรายอาจมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ ความคิดเชื่องช้าหรือติดขัด หรือควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ในรายที่การบาดเจ็บรุนแรงมาก อาจทำให้สมองบวมอย่างมาก และความดันในกะโหลกสูงมาก มีผลกระทบต่อสมองที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะสมองเลื่อน (brain herniation) มีอาการสลบ (โคม่าหรือหมดสติอย่างต่อเนื่อง) และทำให้เสียชีวิตได้
3. ก้อนเลือดในกะโหลกศีรษะ (intracranial hematoma) มักเกิดจากศีรษะได้รับบาดเจ็บจนทำให้หลอดเลือดในกะโหลกศีรษะฉีกขาด มีเลือดออก ค่อย ๆ สะสมเป็นก้อนเลือด (hematoma) ที่มีขนาดโตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจเกิดที่เยื่อหุ้มสมองหรือในเนื้อสมองก็ได้ ก้อนเลือดจะกดดันเนื้อสมอง ทำให้เกิดอาการทางสมองที่ค่อย ๆ รุนแรงขึ้น ถือว่าเป็นภาวะร้ายแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเสียชีวิตได้รวดเร็ว
ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะอย่างต่อเนื่องและรุนแรง อาเจียนอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ซึมลงเรื่อย ๆ เวียนศีรษะ สับสน พูดอ้อแอ้ รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน แขนขาเป็นอัมพาตครึ่งซีก ในที่สุดเมื่อก้อนเลือดมีขนาดโตมาก ก็จะมีอาการเซื่องซึม ชัก สลบ (โคม่าหรือหมดสติอย่างต่อเนื่อง)
บางรายหลังบาดเจ็บอาจรู้สึกเป็นปกติดีอยู่สักระยะหนึ่ง หรืออาจมีอาการหมดสติหลังบาดเจ็บอยู่ครู่หนึ่งแล้วฟื้นคืนสติได้เอง ในระยะต่อมาจึงค่อยเกิดอาการทางสมองดังกล่าวข้างต้น
ในรายที่มีก้อนเลือดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มักมีอาการเกิดขึ้นทันที หรือภายใน 24 ชั่วโมง
ส่วนในรายที่มีก้อนเลือดค่อย ๆ เกิดสะสมโตขึ้นทีละน้อย ก็อาจมีอาการเกิดขึ้นหลังบาดเจ็บเป็นวัน ๆ หรือเป็นสัปดาห์ ๆ หรือมากกว่า
ในรายที่เป็นก้อนเลือดใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกแบบเรื้อรัง (chronic subdural hematoma) ซึ่งมีเลือดซึมออกทีละน้อย ค่อย ๆ สะสมเป็นก้อนโต พบบ่อยในผู้บาดเจ็บที่สูงอายุ หรือดื่มแอลกอฮอล์จัด อาจมีอาการเกิดขึ้นหลังได้รับบาดเจ็บเป็นวัน ๆ เป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ ก็ได้ แล้วจึงค่อยมีอาการปวดศีรษะ ซึ่งเป็นถี่และแรงขึ้นทุกที คลื่นไส้ อาเจียน ซึม บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง แขนขาอ่อนแรง หรือชักแบบโรคลมชัก
สำหรับทารกแรกเกิดที่มีก้อนเลือดในกะโหลกศีรษะ มักมีประวัติคลอดยากหรือศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนระหว่างคลอด มักจะมีอาการร้องเสียงแหลม ซึม อาเจียน ชัก แขนขาอ่อนแรงกระหม่อมโป่งตึง
เลือดออกในสมอง
อาการที่แสดงถึงความรุนแรงของผู้ป่วยศีรษะได้รับบาดเจ็บ
ถ้าพบอาการเพียงข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลด่วน
หมดสติ
ชัก
ปวดศีรษะรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
อาเจียนรุนแรง หรืออาเจียนอย่างต่อเนื่อง
กระสับกระส่าย หรือซึมอย่างต่อเนื่องมากกว่า 6 ชั่วโมง
แขนขาชาหรืออ่อนแรง
ทรงตัวไม่ได้ หรือเดินไม่ได้
พูดอ้อแอ้ หรือพูดไม่ได้
ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน หูตึง (ไม่ได้ยิน) จมูกไม่ได้กลิ่น หรือลิ้นไม่รู้รส
หายใจลำบาก หรือมีอัตราการหายใจต่ำกว่าปกติ
ชีพจรเต้นช้า และความดันโลหิตสูง
คอแข็ง (ก้มคอไม่ลง)
รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน
มีเลือดหรือน้ำใส ๆ (น้ำสมอง-ไขสันหลัง) ไหลออกทางจมูก ปาก หรือหู
จดจำผู้คนหรือสิ่งรอบข้างไม่ได้
ภาวะแทรกซ้อน
ถ้าเป็นรุนแรงอาจถึงตายได้ หรือไม่ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนในภายหลัง เช่น สมองพิการ แขนขาเป็นอัมพาต โรคลมชัก หูตึง หูหนวก ตามืดบอด พูดอ้อแอ้หรือพูดไม่ได้ สูญเสียการทรงตัว ความคิดสับสน ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง โรคกังวล โรคซึมเศร้า
บางรายอาจมีสภาพเป็น "เจ้าชายนิทรา" ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า "สภาพผัก (vegetative state)" คือ มีสภาพที่ไม่ได้หมดสติ มีสัญญาณชีพปกติ (หายใจได้ หัวใจเต้นเป็นปกติ) และมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน แต่ไม่สามารถรับรู้สิ่งแวดล้อม และสูญเสียความสามารถในการคิดและการตอบสนอง
สำหรับผู้ที่มีภาวะสมองได้รับการกระทบกระเทือน แม้ว่าจะมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ถ้าหากปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำซาก (เช่น เล่นกีฬาที่มีการปะทะกันเป็นประจำ) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน โรคซึมเศร้า และภาวะสมองเสื่อมตอนอายุมากได้
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย
อาจตรวจพบอาการหัวโน รอยฟกช้ำที่หนังศีรษะ ศีรษะแตก หรืออาจไม่พบรอยบาดแผลที่ศีรษะชัดเจนก็ได้
ในรายที่สมองได้รับบาดเจ็บรุนแรง ก็อาจตรวจพบอาการไม่ค่อยรู้สึกตัวหรือหมดสติ แขนขาอ่อนแรง ตัวเกร็ง ชีพจรเต้นช้า หายใจตื้นขัด ความดันโลหิตสูง คอแข็ง รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน (รูม่านตาข้างที่โตกว่า จะไม่หดลงเมื่อใช้ไฟส่อง)
บางรายอาจมีบาดแผลหรือการบาดเจ็บหลายแห่ง เช่น กระดูกแขนขาหัก บาดแผลที่ทรวงอก กระดูกสันหลังหัก เป็นต้น
แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ตรวจเลือด เป็นต้น
การรักษาโดยแพทย์
นอกจากดูแลรักษาบาดแผลที่ศีรษะที่ตรวจพบแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษาอาการบาดเจ็บที่สมอง ดังนี้
1. ถ้ามีอาการทางสมอง เช่น หมดสติ ปลุกไม่ค่อยตื่น เซื่องซึม ปวดศีรษะมากขึ้นทุกขณะ อาเจียนรุนแรง คอแข็ง เพ้อคลั่ง ชัก บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง แขนขาอ่อนแรง รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน หรือมีเลือดหรือน้ำใส ๆ ออกจากจมูก ปาก หรือหู เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล แพทย์จะให้การรักษาตามอาการหรือภาวะผิดปกติที่พบ เช่น ให้เลือด ให้น้ำเกลือ ให้ออกซิเจนหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ ยาลดไข้ ยาบรรเทาปวด ยากันชัก (ในรายที่มีอาการชัก)
ในรายที่พบว่ามีอาการสมองบวม (ซึ่งทำให้เกิดความดันในกะโหลกสูง มีอันตรายได้) อาจให้การรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัด
ถ้าตรวจพบว่ามีเลือดออกในสมองที่รุนแรง มักจะต้องทำการผ่าตัดสมองทันที
ในรายที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด (เช่น ผู้ป่วยที่มีก้อนเลือดในสมองขนาดเล็ก) หรือในรายที่ผ่าตัดไม่ได้ (เช่น สมองฟกช้ำหรือฉีกขาด) ก็จะให้การรักษาแบบประคับประคอง ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ฟื้นฟูสภาพด้วยการทำกายภาพบำบัด
2. ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัวดี และไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีประวัติหมดสติอยู่ชั่วขณะหรือไม่ก็ตาม แพทย์อาจรับตัวไว้สังเกตอาการในโรงพยาบาลสักระยะหนึ่ง หรือไม่ก็อาจแนะนำให้ผู้ป่วยกลับไปบ้าน และเฝ้าสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ถ้าพบมีอาการทางสมองอย่างใดอย่างหนึ่งแทรกซ้อนตามมาในภายหลัง (อาจหลังบาดเจ็บนานเป็นวัน ๆ เป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ) ก็ควรพาผู้ป่วยกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลทันที
ผลการรักษา ขึ้นกับสาเหตุและความรุนแรง พวกที่มีอาการไม่มาก (เช่น สมองได้รับการกระทบกระเทือน สมองฟกช้ำหรือฉีกขาดเล็กน้อย) มักจะหายได้ภายในเวลาไม่นาน อาจเป็นวัน ๆ หรือเป็นสัปดาห์ ๆ
พวกที่มีอาการรุนแรง (เช่น สมองฟกช้ำหรือฉีกขาดที่รุนแรง มีก้อนเลือดในกะโหลกศีรษะ) ถ้าสมองไม่ได้ถูกทำลายมากและได้รับการรักษาได้ถูกต้องทันการ ก็มีโอกาสรอดชีวิตสูง และหายเป็นปกติหรือเกือบปกติได้ แต่บางรายอาจมีความพิการทางสมองบางส่วนอย่างถาวรได้
แต่ถ้าสมองได้รับผลกระทบรุนแรง หรือได้รับการรักษาช้าเกินไป ก็มีโอกาสเสียชีวิตสูง หรืออาจมีความพิการที่รุนแรง เช่น อัมพาต พูดไม่ได้ หูหนวก สมองพิการ เป็นต้น บางรายอาจมีสภาพเป็น "เจ้าชายนิทรา"
การดูแลตนเอง
เมื่อมีการบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรดูแลตนเองดังนี้
1. ไม่ว่าจะพบมีบาดแผลที่ศีรษะหรือไม่ หรือมีอาการทางสมองหรือไม่ ควรพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อตรวจดูอาการและให้การดูแลรักษาตามความเหมาะสม
2. ถ้ามีอาการรุนแรง เช่น หมดสติ ชัก ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง แขนขาชาหรืออ่อนแรง หายใจลำบาก มีเลือดหรือน้ำใส ๆ ออกจากจมูก ปาก หรือหู เป็นต้น ควรให้การปฐมพยาบาล และพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลด่วน
3. ถ้าแพทย์ตรวจไม่พบอาการผิดปกติทางสมอง และให้ผู้ป่วยกลับไปบ้าน ควรพักผ่อน หยุดทำกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อสมอง (เช่น การเล่นกีฬา) ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ และเฝ้าสังเกตดูอาการอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอาการผิดปกติตามมา เช่น ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เซื่องซึมลง แขนขาชาหรืออ่อนแรง บ้านหมุน มีเสียงในหู (หูอื้อ) เห็นภาพซ้อน มีความรู้สึกไวต่อแสงหรือเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส เป็นลม เป็นต้น ควรกลับไปพบแพทย์ทันที
4. ถ้าแพทย์รับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ควรดูแลรักษาตามที่แพทย์เห็นว่าเหมาะสม (เช่น การผ่าตัดสมอง) และเมื่อแพทย์ให้ออกจากโรงพยาบาลกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ควรปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
มีอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน เซื่องซึมลง ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง เป็นต้น
บาดแผล (ที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือการผ่าตัด) มีการอักเสบ
ขาดยา หรือยาหาย
ถ้ากินยา (ที่แพทย์สั่งให้กลับมากินที่บ้าน) แล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
การป้องกัน
หาทางป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่อาจทำให้ศีรษะได้รับบาดเจ็บที่สำคัญ เช่น
ในการขับขี่รถ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือกินยาที่ทำให้ง่วงนอนทั้งก่อนและขณะขับขี่รถ คาดเข็มขัดนิรภัย/สวมหมวกนิรภัย และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
ใช้อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ ขณะขี่จักรยาน ขี่ม้า เล่นกีฬา หรือทำงานที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่ศีรษะ
ระมัดระวังไม่ให้หกล้ม ตกจากที่สูงหรือตกบันได โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ
- จัดสภาพแวดล้อมภายในบ้าน และสนามเด็กเล่นให้มีความปลอดภัย
- หลีกเลี่ยงการปีนขึ้นที่สูง หากเลี่ยงไม่ได้ก็ควรทำด้วยความระมัดระวัง
- หลีกเลี่ยงการเดิน วิ่ง หรือขี่จักรยานในบริเวณที่มีพื้นผิวที่ลื่น หรือขรุขระ หรือมีลักษณะต่างระดับ
- ไม่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาขณะเจ็บป่วยหรือร่างกายอ่อนล้า
- ผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้ง่วงนอนในช่วงกลางวัน หมั่นตรวจวัดสายตาและปรับแว่นที่ใช้ให้เหมาะ หมั่นบริหารร่างกายให้แข็งแรง และเวลาขึ้นลงบันไดก็ระวังอย่าเผลอสติ และใช้มือเกาะราวบันไดให้มั่นคง
- เฝ้าระวังเด็กเล็กขณะวิ่งเล่น ปีนป่าย หรือขึ้นลงบันได
ข้อแนะนำ
1. ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะทุกราย แม้จะไม่มีบาดแผลให้เห็น หรือมีเพียงบาดแผลเล็กน้อยที่ศีรษะ หรือรู้สึกสบายดีตั้งแต่แรก ก็ไม่ควรชะล่าใจว่าไม่เป็นไร ควรปรึกษาแพทย์ และเฝ้าสังเกตอาการทางสมองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 24 ชั่วโมงแรก และในสัปดาห์แรก ๆ หลังได้รับบาดเจ็บ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่กินยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน) หรือสารกันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น วาร์ฟาริน) ในการรักษาโรคบางอย่าง (เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด) หากมีเลือดออกในสมอง มีโอกาสเกิดเลือดออกที่รุนแรงเป็นอันตรายได้ เนื่องเพราะยาเหล่านี้ทำให้เลือดหยุดยาก ดังนั้นควรระมัดระวังตัวไม่ให้เกิดการบาดเจ็บที่ศีรษะ หากมีการบาดเจ็บที่ศีรษะ แม้ไม่มีอาการผิดปกติก็ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อจะได้รับการดูแลรักษาได้ทันการ
2. บ่อยครั้งที่พบว่า ผู้ป่วยที่ศีรษะได้รับบาดเจ็บและเกิดมีก้อนเลือดใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกแบบเรื้อรัง ซึ่งมักจะไม่มีอาการผิดปกติตั้งแต่แรก และไม่ได้ไปพบแพทย์หลังได้บาดเจ็บที่ศีรษะ ด้วยรู้สึกว่าไม่เป็นอะไรมาก เมื่อปรากฏอาการหลังบาดเจ็บนานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ ผู้ป่วย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ) จะจำเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ หากอาการทางสมองไม่ได้เด่นชัด เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์ไม่ได้ประวัติการบาดเจ็บที่ศีรษะ อาจทำให้วินิจฉัยโรคได้ล่าช้าเกินไป ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุ ผู้ป่วยควรจดบันทึกไว้หรือแจ้งให้คนใกล้ชิดทราบ และแจ้งให้แพทย์ทราบ แพทย์ก็จะได้ข้อมูลที่สำคัญนี้ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและการรักษาได้ทันท่วงที
3. ผู้ป่วยที่มีภาวะบาดเจ็บที่สมองบางราย หลังผ่าตัดสมองจนปลอดภัยและร่างกายฟื้นตัวได้ดี อาจมีโรคลมชักแทรกซ้อนตามมา ซึ่งจำเป็นต้องกินยากันชักควบคุมอาการตลอดไป