มอเตอร์โชว์ 2025: Mercedes-Benz จัดงานใหญ่ เปิดตัวยนตรกรรมระดับ Top-End Luxury รวม 6 รุ่น และ ครั้งแรกกับยนตรกรรม G-Class ที่มาพร้อมขุมพลังไฟฟ้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เสริมทัพไลน์อัพยนตรกรรมระดับ Top-End Luxury กว่า 6 รุ่น ครอบคลุมทั้งแบรนด์ Mercedes-Maybach และรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในกลุ่ม G-Class, S-Class และ V-Class โดยจัดแสดงภายใต้คอนเซ็ปต์ The Art of Cultivated Luxury นำเสนอความงดงามของศิลปะร่วมสมัยที่ผสานเข้ากับยนตรกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ผ่าน 5 องค์ประกอบ ได้แก่ Luxury on Wheel, The Essence of Elegance, Culinary Mastery, The Art of Fine Drinking, และ Notes of Perfection สะท้อนถึงความประณีต รสนิยมชั้นสูง และสุนทรียภาพแห่งชีวิต รวมถึงความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในการมอบประสบการณ์อันเหนือระดับให้กับลูกค้าระดับไฮเอนด์ในทุกมิติ โดยจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ณ ชั้น 3 อาคารเดอะ ฟอรัม แอท วัน แบงค็อก (One Bangkok Forum)
ไฮไลท์สำคัญของงาน The Art of Cultivated Luxury คือการเปิดตัวและจัดแสดงยนตรกรรมระดับ Top-End Luxury ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ กว่า 6 รุ่น ดังนี้
Mercedes-Maybach EQS 680 SUV จำหน่ายในราคาเริ่มต้น 12,500,000 บาท เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกภายใต้แบรนด์ Mercedes-Maybach ที่สุดแห่งยนตรกรรมเอสยูวีที่ตอบโจทย์การใช้งานอันเหนือระดับ ที่มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PSM (Permanently Excited Synchronous Motors) โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกติดตั้งบริเวณเพลาขับหน้าและหลัง ให้กำลังสูงสุดถึง 658 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร มอบอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 4.4 วินาที
ต่อเนื่องทุกการเดินทางด้วยแบตเตอรี่แบบ High-voltage ชนิด Lithium-ion ที่มีความจุมากถึง 118.0 kWh พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ดีที่สุดอย่าง fully-variable 4MATIC+ all-wheel drive สามารถวิ่งได้ไกลถึง 615 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (WLTP)
โดดเด่นด้วยระบบไฟหน้า DIGITAL LIGHT สามารถปรับความสว่างได้อัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมและการจราจร มาพร้อมการติดตั้งระบบประตูแบบ Soft Close พร้อมประตูไฟฟ้า Electric Door ทั้ง 4 บาน และเป็นครั้งแรกที่มาพร้อมระบบ KEYLESS-GO Convenience Package Plus สามารถเปิด-ปิดและควบคุมประตูได้ทั้งบานคู่หน้าและคู่หลัง
เมื่อเข้ามายังภายในห้องโดยสาร จะพบกับหน้าจอ MBUX Hyperscreen ยาวต่อเนื่องกันถึง 56 นิ้ว ซึ่งออกแบบตามแนวคิด Zero Layer concept โดยแบ่งการใช้งานเป็น 3 ส่วน ได้แก่ หน้าจอ Driver Display แบบ LED matrix backlighting ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอ Central Display แบบ OLED ขนาด 17.7 นิ้ว และ หน้าจอ Co-driver Display แบบ OLED ขนาด 12.3 นิ้ว ซึ่งแสดงผลได้คมชัดยิ่งขึ้น เติมความลักชัวรีในทุกสัมผัสไปอีกขั้น ด้วยการติดตั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง Exclusive Nappa Leather พร้อมเบาะนั่งพิเศษ Active Multi-Contour ที่มีระบบนวดกว่า 10 โปรแกรม แบบ ENERGIZING massage function และระบบปรับอุณหภูมิเบาะแบบ Climate seats
Mercedes-Maybach EQS 680 SUV ยังโดดเด่นด้วยฟีเจอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ทั้งหน้าจอแบบ MBUX High-End Rear Seat Entertainment จำนวน 2 หน้าจอ ขนาด 11.6 นิ้ว ควบคุมด้วยระบบสัมผัสแบบ Multi-touch, หูฟังแบบ Bluetooth Audio พร้อมรองรับการเชื่อมต่อภาพและเสียงแบบ Mini HDMI มาพร้อม MBUX rear tablet หน้าจอขนาด 7.4 นิ้ว แบบ HD-resolution Display สามารถสลับการใช้งานได้ระหว่าง MBUX และ Android โดยแท็บเล็ตจะเชื่อมต่อและควบคุมหน้าจอต่าง ๆ ภายในรถผ่านสัญญาณ Wi-Fi กับระบบเสียง Burmester 4D surround sound system ด้วยลำโพงคุณภาพสูงกว่า 15 ตัว แบบ Premium Speakers ติดตั้ง Amplifier Channels ให้กำลังขับสูงสุด 790 วัตต์ พร้อม Dolby Atmos และหูฟังไร้สายความละเอียดสูง พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation ที่จะมอบประสบการณ์เสียงคุณภาพรอบทิศทาง
Mercedes-Maybach S 580 e Premium จำหน่ายในราคาเริ่มต้น 11,300,000 บาท รถยนต์ซีดานระดับไฮเอนด์ลักชัวรีที่สะท้อนเอกลักษณ์ความสง่างามในแบบฉบับของ S-Class โดยกลับมาพร้อมตัวถังสีทูโทนใหม่ คือ High-tech Silver / Selenite Grey แบบ Local Production โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อนผสานขุมพลังแบบปลั๊กอินไฮบริด ด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย มอบสมรรถนะในการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบแถวเรียง 6 สูบ พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุดถึง 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร
ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 150 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังสูงสุดถึง 510 แรงม้า แรงบิด 750 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 5.7 วินาที ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูงแบบ Lithium-ion ขนาด 28.6 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 60 kWh ใช้เวลา 30 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จ 2 ชั่วโมง 30 นาที
ภายนอกโดดเด่นสง่างามพร้อมสะกดทุกสายตาตั้งแต่แรกเห็น ด้วยกระจังหน้าโครเมียมแบบ Radiator grille และตราสัญลักษณ์ Maybach กับไฟหน้าแบบ DIGITAL LIGHT และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist Plus ผสานการทำงานด้วยระบบปรับโคมไฟหน้าตามการเลี้ยวของพวงมาลัย และไฟท้ายดีไซน์ใหม่พิเศษแบบ LED พร้อมเทคโนโลยี fibre-optic, ล้อ MAYBACH แบบ forge wheels ขนาด 20 นิ้ว และระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (AIRMATIC) ให้ทุกการขับขี่เป็นไปอย่างสะดวกสบายและเหนือระดับในทุกสภาพถนน
ภายในห้องโดยสาร แผงคอนโซลกลางแบบ black crystal-look finish ติดตั้งหน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลาง OLED ขนาด 12.8 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ Digital ที่สามารถปรับรูปแบบการแสดงผลได้ 3 รูปแบบ ตกแต่งบริเวณโครงหลังคาอย่างปราณีตด้วย DINAMICA microfibre
และระบบนั่งด้านหลังแบบเฟิร์สคลาส พร้อมฟังก์ชันการนวดที่สามารถเปลี่ยนทุกความเหนื่อยล้าให้เป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลาย นอกจากนี้ ยังติดตั้งถุงลมนิรภัยระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า (Centre Airbag) ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMOTRONIC แบบ 4-ZONE ฟังก์ชันปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสาร (AIR BALANCE package) ระบบฟอกอากาศแบบ HEPA filter และระบบตรวจวัดระดับฝุ่นละอองขนาด PM 2.5 เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
Mercedes-Maybach S 580 e ได้มีการติดตั้งระบบความบันเทิงและการสื่อสารมาอย่างล้ำสมัย ความพิเศษในรูปแบบใหม่ของรถยนต์คันนี้คือ การเปิดประสบการณ์ใหม่แห่งการเดินทางไปกับโปรแกรมการขับขี่แบบ Maybach ที่ออกแบบมาเพื่อมอบความผ่อนคลายขณะเดินทางให้แก่ผู้โดยสารด้านหลังโดยเฉพาะ โดยจะเน้นการเคลื่อนที่ของระบบช่วงล่างและควบคุมแรงสั่นสะเทือนของรถยนต์เพื่อมอบการขับขี่ที่นุ่มสบายที่สุด สำหรับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยนั้น Mercedes-Maybach S 580 e จัดมาให้อย่างเต็มพิกัดตามแบบฉบับรถยนต์ระดับไฮเอนด์ลักชัวรี
Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology ครั้งแรกกับการสานต่อตำนาน 45 ปี ของ G-Class เจ้าของฉายา King of Off-Road มาพร้อมระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า 100% และมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว แยกติดตั้งทั้ง 4 ล้อ ให้กำลังสูงสุด 587 แรงม้า แรงบิดได้สูงสุดถึง 1,164 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลา 4.7 วินาที สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขับเคลื่อน 4 ล้อ All-wheel drive วิ่งได้ไกลถึง 473 กิโลเมตร (WLTP) ต่อการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 1 ครั้ง โดยยังรองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC charge) สูงถึง 200 kWh ใช้เวลาชาร์จเพียง 32 นาทีจาก 10-80% ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 11 ชั่วโมง 45 นาที
ภายนอกถูกออกแบบมาพร้อมความแข็งแรงและทนทานในทุกสภาวะ มอบความปลอดภัยด้วยการใช้เหล็กกล้าที่มีความหนากว่า 3.4 มิลลิเมตร เพื่อปกป้องและลดการบิดตัวของห้องโดยสาร ทั้งยังเสริมความแกร่งด้วยโครงสร้างพิเศษแบบ Carbon-fibre skid plate ในการปกป้องแบตเตอรี่แบบ high-voltage พร้อมตอบสนองทุกการขับขี่ทั้งแบบ on-road และ off-road
ในส่วนของเทคโนโลยีและระบบความบันเทิง มาพร้อมระบบปฏิบัติการ MBUX7 ทำงานโดยใช้ AI ที่จะจดจำรูปแบบการใช้งาน และปรับการตั้งค่าให้เหมาะสมกับผู้ขับขี่แต่ละคน ติดตั้งหน้าจอความละเอียดสูงพร้อมระบบควบคุมแบบสัมผัส ขนาด 12.35 นิ้ว สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ผ่านการสัมผัสและแสดงข้อมูลที่ชัดเจน เช่น ระบบนำทางและการเชื่อมต่อมัลติมีเดีย และรองรับการสั่งงานด้วยเสียงเจเนอเรชันใหม่ได้ถึง 27 ภาษา มาพร้อมระบบเสียง Burmester 3D surround sound system ทรงพลังด้วยลำโพงคุณภาพสูงจำนวน 18 ตัว DSP 16 amplifier channels รอบห้องโดยสารด้วยกำลังขับขนาด 760 วัตต์ ถ่ายทอดเสียงอันไพเราะด้วยโหมดเสียงพิเศษแบบ Pure & 3D-Sound ที่ Burmester ออกแบบมาสำหรับ The new G-Class โดยเฉพาะ เปิดตัว 2 รุ่น ในรุ่น STANDARD ราคาเริ่มต้น 9,500,000 บาท และรุ่น EDITION ONE ราคาเริ่มต้น 12,200,000 บาท โดยในรุ่นนี้จะจำหน่ายจำนวนจำกัดเพียง 6 คัน ในประเทศไทย
Mercedes-Benz G 450 d จำหน่ายในราคาเริ่มต้น 12,200,000 บาท ยนตรกรรม The new G-Class ที่มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลตามคำเรียกร้องของกลุ่มลูกค้าชาวไทย ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลรหัส OM 656M ความจุ 2,989 ซีซี พ่วงระบบ ISG2 (Integrated Starter Generator)
ที่ให้พลังรวมสูงสุด 367 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดถึง 750 นิวตันเมตร ที่ 1,350-2,800 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 5.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 210 กม./ชม. ระบบขับเคลื่อนที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้ทำให้รถยนต์คันนี้โดดเด่นทั้งด้านสมรรถนะการขับขี่และการประหยัดพลังงานไปอีกขั้น ผสานกันของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบกระจายแรงบิด differential locks
ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยชุดแต่ง AMG Line รอบคัน ด้านบนติดตั้งหลังคาพาโนรามิคซันรูฟแบบเลื่อนเปิด-ปิด ได้ด้วยระบบไฟฟ้า ช่วงล่างติดตั้งล้อแบบ AMG ที่ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่แต่ยังคงความสปอร์ต
ดีไซน์ภายในแบบ EXCLUSIVE Line Interior มอบความรู้สึกแบบสปอร์ตและพรีเมียมในทุกการเดินทาง ตัวห้องโดยสารถูกออกแบบด้วยวัสดุตกแต่งพิเศษที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของ AMG ไม่ว่าจะเป็น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันรุ่นใหม่พร้อมแผงควบคุมแบบสัมผัส เบาะนั่งแบบหนัง แผงหน้าปัด อีกทั้งแป้นควบคุมกลางคอนโซลสำหรับระบบ MBUX7 พร้อมปุ่มควบคุมลัด DYNAMIC SELECT และปุ่มควบคุมระดับเสียง ศูนย์ควบคุมโหมดออฟโรดออกแบบใหม่ รวมถึงการควบคุมล็อกเฟืองท้ายทั้ง 3 จุด โหมด LOW RANGE โหมดเกียร์ธรรมดา และปุ่มเข้าสู่ OFFROAD COCKPIT สะดวกสบายไปอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีและระบบความบันเทิงจากระบบปฏิบัติการ MBUX รุ่นล่าสุด Mercedes-Benz G 450 d ยังติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุดมากมาย
Mercedes-Benz S 580 e AMG Premium จำหน่ายในราคา 7,580,000 บาท ยนตรกรรมลักชัวรี่ซีดานที่มอบความครบเครื่องในทุกมิติ ทั้งสุนทรียภาพด้านการขับขี่ ความสะดวกสบายของการโดยสาร ระบบความบันเทิง และความปลอดภัยขั้นสูง มาพร้อมการเพิ่มความสะดวกสบายทุกการขับขี่ที่มากขึ้น ด้วยระบบควบคุมทิศทางตัวรถแบบเลี้ยว 4 ล้อ (Rear axle steering 4.5°)
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 สูบเรียง ขนาด 2,999 ซีซี พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุดถึง 367 แรงม้าที่ 5,500-6,100 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,500 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 150 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังสูงสุดถึง 510 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุด 750 นิวตันเมตร
ดีไซน์ภายนอกถ่ายทอดทุกความสง่างามบนท้องถนนตามปรัชญา Sensual Purity ตกแต่งรอบคันแบบ AMG Bodystyling สะท้อนความหรูหราและความทันสมัย เพื่อให้ทุกการขับขี่โดดเด่นในทุกมุมมอง พร้อมทั้งอุปกรณ์มาตรฐานที่ถูกติดตั้งมาอย่างครบครัน
ภายในห้องโดยสารของออกแบบมาอย่างประณีตด้วยชุดตกแต่ง AMG Interior Package ที่เน้นความหรูหราและสปอร์ตอย่างลงตัว มาพร้อมเบาะนั่งหุ้มหนัง Exclusive Nappa ตัดเย็บลายเบาะแบบ diamond design สะท้อนถึงความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด การติดตั้งเทคโนโลยีและระบบการสื่อสารต่าง ๆ จัดมาแบบเต็มพิกัด พร้อมส่งมอบประสบการณ์อันเหนือระดับแก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารไปอีกขั้น พร้อมระบบความปลอดภัยอย่างครบครัน
Mercedes-Benz V 300 d Exclusive จำหน่ายในราคา 5,820,000 บาท รถแวนระดับลักชัวรี่ 6 ที่นั่ง ในตระกูล V-Class เป็นรุ่นนำเข้ามาตรฐานยุโรป ออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งการเดินทางแบบครอบครัวและการใช้งานในทางธุรกิจ มอบความสะดวกสบายและความหรูหราระดับเฟิร์สคลาส พร้อมทั้งเสริมสมรรถนะที่ทรงพลังยิ่งขึ้นเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 1,950 ซีซี สามารถรีดพละกำลังสูงสุด 237 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ได้ในระยะเวลา 7.4 วินาที มีความเร็วสูงสุดโดยประมาณที่ 220 กม./ชม. โดยมีระบบส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC) ที่มีจุดเด่นในการรักษาระดับการทำงานของรอบเครื่องยนต์ให้ต่ำ และช่วยให้จังหวะการเร่งเครื่องมีความต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น
ดีไซน์ภายนอกคงความภูมิฐานและแฝงความสปอร์ต ด้วยการตกแต่งกระจังหน้าใหม่แบบ Exclusive chrome grille ด้วยวัสดุโครเมียมสุดหรู พร้อมแถบไฟ LED ทั้งยังเป็นครั้งแรกในรถแวนที่มาพร้อม MB logo on bonnet
ห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วย Wood-look มีการติดตั้งฟังก์ชันการใช้งานที่มอบความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี ทั้งเบาะนั่งสีเบจที่มอบความเรียบหรูในทุกองศาแบบ 3 ตอน 6 ที่นั่ง พร้อมฟังก์ชันนวดในตัว จัดรูปแบบการนั่งแบบ 2-2-2 ในส่วนของเทคโนโลยีและระบบความบันเทิง มีการผสานรวมเทคโนโลยี MBUX เวอร์ชั่นล่าสุด ความปลอดภัยในการขับขี่และการโดยสารเป็นสิ่งที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ให้ความสำคัญ โดยเฉพาะกับรถยนต์ในกลุ่ม V-Class ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนที่มีครอบครัว ดังนั้น เทคโนโลยีต่าง ๆ ใน Mercedes-Benz V 300 d Exclusive จึงมีทั้งระบบความปลอดภัยมาตรฐานและระบบความปลอดภัยขั้นสูง
มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัวยนตรกรรมทั้ง 6 รุ่น สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเลิศในทุกด้านของเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างแท้จริง โดยแบรนด์ Mercedes-Maybach และรถยนต์กลุ่ม S-Class ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความหรูหราแบบร่วมสมัย ด้วยการตกแต่งภายในสุดประณีต เทคโนโลยีล้ำสมัย และการออกแบบที่เหนือกาลเวลา ในส่วนของรถยนต์กลุ่ม G-Class นั้น เป็นตัวแทนด้านขุมพลังและมรดกอันยิ่งใหญ่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมตอกย้ำถึงความสง่างามที่มาพร้อมความแข็งแกร่งและสมรรถนะขั้นสูง และสำหรับผู้ที่ต้องการพื้นที่กว้างขวางในการใช้งาน เรายังได้นำเสนอรถแวนอเนกประสงค์ในกลุ่ม V-Class ที่เหมาะสำหรับกลุ่มครอบครัวและกลุ่มนักธุรกิจ พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งานที่หลากหลาย”
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงเครื่องประดับและเฟอร์นิเจอร์หายากที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันจาก Lotus Arts de Vivre แบรนด์จิวเวลรี่และของตกแต่งบ้านชื่อดังของไทย และนาฬิกาหรูจาก SHH by Pendulum รวมไปถึงเมนูอาหารและเครื่องดื่มสุดพิเศษที่รังสรรค์โดยเชฟระดับ มิชลินสตาร์อย่าง WANAYOOK คาเวียร์บาร์สุดพรีเมียมจาก Prunier และแชมเปญชั้นเลิศจาก Laurent-Perrier พร้อมดื่มด่ำไปกับบทเพลงอันไพเราะจากวงออร์เคสตรา THAILAND PHILHARMONIC ที่มาเติมเต็มประสบการณ์แห่งความลักชัวรี่ในแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เราไม่ได้เพียงแค่นำเสนอความเหนือชั้นด้านสมรรถนะ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในรถยนต์ทุกรุ่นเท่านั้น แต่เรายังมุ่งมั่นที่จะส่งมอบความประณีตและความสง่างามในทุกองค์ประกอบ โดย ‘Cultivated Luxury’ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างรสนิยม วัฒนธรรม และคุณค่าอย่างลงตัว เรามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานใหม่แห่งความลักชัวรี่นี้” มร. มาร์ทิน กล่าวปิดท้าย