หมอประจำบ้าน: โรคหัดเยอรมัน (Rubella หรือ German Measles) โรคหัดเยอรมัน (Rubella หรือ German Measles) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มักมีอาการไม่รุนแรงในเด็กและผู้ใหญ่ทั่วไป แต่อาจเป็นอันตรายอย่างยิ่งหากเกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์ เพราะสามารถส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์อย่างรุนแรงได้
อาการของโรคหัดเยอรมัน
อาการของโรคหัดเยอรมันมักจะปรากฏภายใน 2-3 สัปดาห์หลังการสัมผัสเชื้อ และโดยทั่วไปจะมีระยะเวลาประมาณ 5 วัน อาการที่พบบ่อยได้แก่:
ไข้ต่ำ (ประมาณ 38.9 องศาเซลเซียส หรือต่ำกว่า)
ผื่นสีชมพูอ่อนๆ ซึ่งมักเริ่มขึ้นที่ใบหน้า แล้วลามไปที่ลำตัว แขน และขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจางหายไปในลำดับเดียวกัน ผื่นอาจมีอาการคันเล็กน้อย
ต่อมน้ำเหลืองโตและเจ็บ โดยเฉพาะบริเวณโคนกะโหลกศีรษะ ท้ายทอย และหลังหู
ตาแดง หรือตาอักเสบเล็กน้อย
ปวดข้อ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยรุ่นและผู้ใหญ่
ปวดศีรษะ
น้ำมูกไหล
คออักเสบ
ในบางกรณี โดยเฉพาะในเด็กเล็ก อาจไม่มีอาการแสดงใดๆ เลย (ไม่มีอาการ) แต่อาจยังแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้
ความแตกต่างระหว่างหัดเยอรมันและหัดทั่วไป
แม้จะมีชื่อคล้ายกัน แต่โรคหัดเยอรมัน (Rubella) และโรคหัดทั่วไป (Measles หรือ Rubeola) เกิดจากไวรัสคนละชนิดกัน และมีความรุนแรงแตกต่างกัน:
หัดเยอรมัน: มักมีอาการไม่รุนแรง ส่วนใหญ่เป็นไข้ต่ำและผื่นแดงอ่อนๆ
หัดทั่วไป: มีความรุนแรงและติดต่อได้ง่ายกว่า มักมีไข้สูง ผื่นแดงเข้มกว่า และอาจมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่า เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ
การรักษาโรคหัดเยอรมัน
โดยทั่วไปแล้ว โรคหัดเยอรมันไม่มีการรักษาเฉพาะ เนื่องจากอาการมักไม่รุนแรงและหายได้เอง การรักษาจะเน้นการบรรเทาอาการ เช่น:
การพักผ่อนให้เพียงพอ
การดื่มน้ำมากๆ
การใช้ยาลดไข้หรือแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการไข้และปวดเมื่อย
สิ่งสำคัญคือผู้ป่วยควรแยกตัวจากผู้อื่นในช่วงที่มีการแพร่เชื้อ เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย โดยเฉพาะกับหญิงตั้งครรภ์
การป้องกันโรคหัดเยอรมัน
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคหัดเยอรมันคือ การฉีดวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) ซึ่งเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงและให้ภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิต
ตารางการฉีดวัคซีน MMR ที่แนะนำ:
เข็มที่ 1: เมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน
เข็มที่ 2: เมื่อเด็กอายุ 4-6 ปี (บางกรณีอาจฉีดกระตุ้นเข็มที่ 2 เมื่ออายุ 2 ปีครึ่ง เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันก่อนเข้าโรงเรียน)
สำหรับผู้หญิงที่วางแผนจะมีบุตร หากยังไม่เคยฉีดวัคซีนหรือไม่มีภูมิคุ้มกัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันก่อนการตั้งครรภ์ โดยปกติแล้วควรคุมกำเนิดอย่างน้อย 3 เดือนหลังฉีดวัคซีนก่อนที่จะตั้งครรภ์
โรคหัดเยอรมันกับการตั้งครรภ์
นี่คือสิ่งที่อันตรายที่สุดของโรคหัดเยอรมัน หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อหัดเยอรมัน โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ (ไตรมาสแรก) ไวรัสสามารถแพร่ไปยังทารกในครรภ์ผ่านทางรก และอาจทำให้เกิด กลุ่มอาการหัดเยอรมันแต่กำเนิด (Congenital Rubella Syndrome - CRS) ซึ่งก่อให้เกิดความพิการถาวรอย่างรุนแรงในทารกได้ เช่น:
ความบกพร่องในการได้ยิน (หูหนวก)
ความผิดปกติของหัวใจแต่กำเนิด
ความผิดปกติทางตา (เช่น ต้อกระจก)
ความผิดปกติทางสมองและพัฒนาการช้า
การเจริญเติบโตช้า
ยิ่งติดเชื้อในช่วงตั้งครรภ์น้อยเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่ทารกจะเกิดความพิการยิ่งสูงขึ้น
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการของโรคหัดเยอรมัน หรือต้องการปรึกษาเรื่องการฉีดวัคซีน ควรปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุด