แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 46
1
การจัดฟันเด็ก แก้ไขปัญหาช่องฟันห่างได้ไหม
 
เด็กหลายคนมีปัญหาในเรื่องของฟันห่าง ฟันซ้อนเก ฟันล้ม ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่ไม่ดูแลรักษาความสะอาดในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน จนทำให้เกิดฟันผุ จนถึงขั้นสูญเสียฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะยังมีความคิดที่ว่า ฟันน้ำนมของเด็กนั้น ไม่มีความสำคัญ แต่แท้จริงแล้ว ฟันน้ำนมของเด็กนั้น สามารถบ่งบอกสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กในอนาคตได้ เพราะฟันน้ำนมมีผลต่อการขึ้นของฟันแท้

ซึ่งฟันแท้ก็จะอยู่กับเด็กไปตลอดชีวิต ดังนั้น ถ้าหากละเลยในเรื่องขอสุขอนามัยช่องปากและฟันของเด็ก อาจจะทำให้เด็กมีฟันที่ไม่สวยงามและอาจจะส่งผลทำให้เกิดปัญหาฟันในเรื่องอื่นๆได้ เช่น ปัญหาช่องฟันห่างในเด็ก ถือว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพของเด็ก อาจจะทำให้มีเพื่อนล้อ หรือสร้างความไม่มั่นใจให้กับตัวเด็กได้ ถือว่าเป็นทำให้เด็กเกิดทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวฟัน จนทำให้เกิดอาการกลัวหมอฟันจนไม่กล้าเข้ารับการรักษาเกี่ยวกับฟันได้


ดังนั้น ทัศนคติก็เป้นเรื่องที่สำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องคอยแนะนำคอยสอนให้เด็กได้เข้าใจและรู้จักวิธีการทำความสะอาดที่ถูกต้อง และถ้าเด็กมีปัญหาฟัน ควรรีบพาเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและแก้ไขทันที ในปัจจุบันวงการทันตกรรมของเรา มีนวัตกรรมที่สามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุยังน้อย นั่นก็คือ การจัดฟันในเด็ก ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาฟันของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างหลากหลาย แต่วันนี้คลินิกเราจะมาพูดถึงปัญหาช่องฟันห่างหรือที่เราเรียกว่า ฟันหลอ นั่นเอง ซึ่งทำให้เด็กโดนเพื่อนล้อ และทำให้เสียความมั่นใจได้
 
การจัดฟันในเด็ก ก็เป็นอีกหนึ่งกระบวนการ ที่สามารถแก้ไขฟันที่มีความไม่สมดุลจากการเรียงตัวของฟันที่ผิดปกติให้กลับไปสู่สภาพที่ปกติ ซึ่งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างฟันที่ถูกเลื่อนไปจะเกิดจากการใช้แรงทั้งจากเครื่องมือภายนอกและภายในช่องปาก เป็นตัวช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการปรับแต่งโครงสร้างฟันใหม่ และกระดูกที่ล้อมบริเวณรากฟันจะละลายเสริมสร้างโครงสร้างใหม่ของกระดูกแบบค่อยเป็นค่อยไป ใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานในการรักษา

แต่ข้อดีก็คือ สามารถทำให้เด็กกลับมามีฟันที่เรียงตัวอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติได้ และยังช่วยทำให้สามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย สำหรับปัญหาช่องฟันห่างในเด็กนั้น อาจมีสาเหตุจากขนาดของซี่ฟันที่ไม่เท่ากัน ฟันหาย หรือเนื้อยึดริมฝีปากที่ใหญ่กว่าปกติ เนื้อเยื่อดังกล่าวขยายเริ่มจากด้านในของริมฝีปากไปจนถึง เนื้อเยื่อเหงือกซึ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่ของฟันบนสองซี่หน้า

สาเหตุที่รองลงมาได้แก่ปัญหาการจัดตำแหน่งในช่องปาก เช่น ขากรรไกรบนยื่น หรือการยื่นออกมาของฟัน 1 ซี่ ซึ่งก็มีวิธีการรักษาได้หลากหลายแบบ รวมไปถึงการจัดฟันในเด็กด้วย การรักษาด้วยการจัดฟันเพื่อย้ายฟัน สามารถปิดช่องฟันห่างให้สนิทได้ และถือว่าเป็นการรักษาในระยะยาว เพราะจะทำให้ฟันเคลื่อนตัวไปในตำแหน่งที่ทันตแพทย์กำหนดไว้ นั่นก็คือ เคลื่อนตัวไปยังช่องว่างระหว่างฟันนั่นเอง เพียงเท่านี้ก็สามารถแก้ไขปัญหาฟันห่างได้แล้ว อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็ก นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาฟันแล้ว ยังสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้อีกด้วย จะทำให้ใบหน้าเข้าที่มากยิ่งขึ้น ช่วยส่งเสริมในเรื่องของบุคลิกภาพได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
 
หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจสุขภาพฟันของบุตรหลานของท่านและสนใจเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดต่างๆได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่จะให้บุตรหลานของท่านได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วยปลูกฝังทัศนคติที่ดีในการดูแลสุขภาพฟัน และรู้จักวิธีการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้มีฟันที่สวยงามและแข็งแรง สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และส่งเสริมในเรื่องของพัฒนาการในเด็กอีกด้วย

2
ฉนวนกันความร้อน แก้ปัญหาโรงงานร้อน ทำไมควรทำตั้งแต่ตอนเริ่มสร้าง

โรงงานอุตสาหกรรมที่ร้อนอบอ้าวจนเกินไป จะส่งผลเสียต่อการดำเนินธุรกิจในหลาย ๆ ด้าน อาทิ ทำให้พนักงานรู้สึกเหนื่อยล้า อึดอัด และเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ เกิดความผิดพลาดในการทำงานได้ง่าย ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนัก เปลืองไฟ และส่งผลต่อเครื่องจักรต่าง ๆ ที่ทำงานหนักขึ้น เสี่ยงต่อความเสียหายมากขึ้น

ซึ่งหากไม่แก้ไขก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานที่ต่ำลง ในขณะที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กลับดีดตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ แนวทางในการแก้ไขปัญหา โรงงานร้อน นั้น ถ้าจะให้ดี ควรทำตั้งแต่ตอนเริ่มสร้างโรงงานเลย จะดีที่สุด เนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้


1.เพื่อให้เลือกใช้วัสดุที่กันความร้อนได้ดีตั้งแต่แรก

ความร้อนในโรงงานอุตสาหกรรม จะเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ความร้อนจากตัวเครื่องจักรภายในโรงงาน ความร้อนจากภายนอกที่ทุกผ่านเข้ามาทางหลังคา และผนัง

ดังนั้น หากเราไม่วางแผนเลือกใช้วัสดุฉนวนป้องกันความร้อนในบริเวณจุดสะสมความร้อนให้ดีตั้งแต่แรก ก็จะกลายเป็นต้องเสียงบประมาณเพิ่มขึ้นในภายหลังได้ ทั้งยังเสียเวลา ที่ต้องดำเนินการปรับปรุงโรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาความร้อน ซึ่งอาจทำให้การทำงานล่าช้า หยุดชะงัก และเกิดความสูญเสียเพิ่มมากขึ้นได้


2.เพื่อให้จัดผังโรงงานเหมาะกับการระบายความร้อนได้ดี

หากไม่ได้มีการวางแผนการป้องกันและควบคุมความร้อนตั้งแต่ต้น การจัดผังของโรงงานอาจปิดกั้นบังทางลม ทำให้อากาศภายในโรงงานถ่ายเทไม่ดีพอ ความร้อนจึงสะสมภายในตัวโรงงานมากขึ้น และเกิดเป็นปัญหา โรงงานร้อน เกินไปตามมาในที่สุด

ดังนั้น ในตอนเริ่มสร้างโรงงาน จึงควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้จัดวางผัง และสร้างช่องทางระบายความร้อนเอาไว้ให้เพียงพอเหมาะสม เพื่อควบคุมความร้อนภายในโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ฉนวนกันความร้อน ตัวช่วยชั้นดีแก้ปัญหาโรงงานร้อน

สำหรับโรงงานที่วางแผนการก่อสร้างให้สามารถป้องกันความร้อนได้ดีตั้งแต่เริ่ม การเลือกใช้วัสดุฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ ซึ่ง ฉนวนกันความร้อนสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ตอบโจทย์ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น ได้แก่

    เป็นฉนวนใยแก้ว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยต่อสุขภาพ
    มีคุณสมบัติในการกันความร้อนได้ดี
    มีฉนวนกันความร้อนทุกประเภทครอบคลุมความจำเป็นที่ต้องใช้ในโรงงาน
    ไม่ว่าจะเป็นฉนวนกันความร้อนสำหรับงานหลังคา งานระบบปรับอากาศ และงานทนอุณหภูมิสูง

การวางแผนควบคุมและแก้ไขปัญหาความร้อนตั้งแต่ต้น จะช่วยประหยัดงบประมาณได้มาก และทำให้โรงงานมีบรรยากาศที่ดี ไม่ร้อนอบอ้าว ส่งผลต่อการยกระดับประสิทธิภาพในการทำงานของทั้งพนักงานและเครื่องจักร รวมไปถึงยังช่วยรักษาอายุการใช้งาน และยังเป็นการประหยัดพลังงานได้อย่างมหาศาลอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ประกอบการหลาย ๆ คนจะไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น ไม่ได้วางแผนสร้างโรงงานด้วยแนวคิดป้องกันความร้อนไว้ก่อน ก็ยังสามารถแก้ไขปัญหาโรงงานร้อนได้ ด้วยการเสริมฉนวนกันความร้อนเข้าไปยังจุดสำคัญ ๆ

3
บริการด้านอาหาร: กินผักอย่างไรให้ได้ประโยชน์ สารอาหารครบ
 
เชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่ชอบรับประทานผัก เพราะมีรสชาติที่ขมหรือมีกลิ่นที่บางคนอาจจะไม่ชอบ แต่หารู้หรือไม่ว่า การรับประทานผักเป็นประจำนั้น มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก นอกจากนี้จะอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆมากมายแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของเราด้วย เพราะผักและผลไม้ เป็นอาหารในอาหารหลัก 5 หมู่ แม้ว่าการรับประผักและผลไม้ จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร


ซึ่งมีคุณสมบัติในการป้องกันโรคและความเสื่อมสภาพของเซลล์ แต่ถ้าจะให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรจะเลือกรับประทานผักและผลไม้ให้ถูกวิธี ซึ่งมีสิ่งที่ควรคำนึงถึง บางคนชอบรับประทานผัก แล้วอาจจะมีความสงสัยว่า ควรรับประทานอย่างไรเพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนหรือได้รับประโยชน์มากที่สุด บางคนเลือกรับประทานเป็นบางชนิด โดยที่ไม่รู้เลยว่าได้พลาดประโยชน์ที่ควรได้รับอันมากมายจากผักเหล่านั้น

ตามมาด้วยความเจ็บป่วยและโรคร้ายต่างๆ มากมาย สังเกตได้ง่ายๆ ว่าคนไม่ชอบรับประทานผักมักจะมีปัญหาท้องผูก ผิวพรรณหมองไม่สดใส และเจ็บป่วยได้ง่าย ดังนั้น เราควรหันมาใส่ใจรับประทานผักให้มากขึ้น ซึ่งเราจะมาแนะนำวิธีการรับประทานผัก เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและได้รับสารอาหารแบบครบถ้วนเลยทีเดียว ซึ่งคนที่รักสุขภาพและชื่นชอบในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพหรือชอบรับประทานผักไม่ควรพลาด


สำหรับผักนั้น หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง เพราะมีเส้นใยอาหารช่วยเรื่องการขับถ่าย เป็นแหล่งของวิตามินและเกลือแร่ ช่วยป้องกันและบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ แถมยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ซึ่งการรับประทานผักนั้น หลักมีอยู่ 2 วิธี คือ บางคนชอบรับประทานผักที่ผ่านกระบวนการทำให้สุกแล้ว หรือบางคนชอบรับประทานผักสด ซึ่งการปรุงอาหารแต่ละเมนูนั้นมีวัตถุดิบและขั้นตอนต่าง ๆ มากมายในแต่ละครั้ง

ซึ่งองค์ประกอบในการทำอาหารอาจส่งผลต่อสารอาหารในผัก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ ความร้อน ไปจนถึงวิธีการปรุง โดยความร้อนและวิธีการปรุงอาหารสามารถเปลี่ยนโครงสร้างและปริมาณของสารอาหารในผัก โดยหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้สารอาหารลดลง คือ น้ำและการปรุงด้วยน้ำ โดยเฉพาะในการต้ม เนื่องจากสารอาหารบางชนิดสามารถละลายในน้ำ อย่างวิตามินซีและกลุ่มวิตามินบี

ดังนั้น เมื่อนำผักที่มีสารอาหารเหล่านี้ไปปรุงด้วยวิธีการต้มหรือมีน้ำเป็นส่วนประกอบก็อาจลดปริมาณของวิตามินที่ละลายน้ำได้ถึง 50-60 % แต่ในขณะที่ผลงานวิจัยอีกส่วนหนึ่งชี้ว่า การปรุงสุกด้วยความร้อนอาจช่วยเพิ่มปริมาณของสารแอนติออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระในผักได้ ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระมีสรรพคุณช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ ต้านการอักเสบ ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ

อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายชนิด แต่ผักบางชนิดที่เมื่อผ่านการปรุงสุกจะทำให้มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น เช่น หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด ปวยเล้ง มะเขือเทศ แครอท มันฝรั่ง และพืชตระกูลถั่ว ในขณะเดียวกัน การรับประทานผักสด อาจมีสารอาหารบางอย่างสูงกว่าผักที่ปรุงสุกแล้ว

โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายน้ำ แต่การบริโภคผักสดมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อภายในระบบทางเดินอาหารได้สูงกว่าผักที่ปรุงสุกแล้ว โดยอาจมาจากเชื้อโรคตามธรรมชาติ แต่ผักบางชนิดหากรับประทานสดอาจให้ประโยชน์มากกว่า เช่น บร็อคโคลี กะหล่ำปลี หัวหอม กระเทียม พริก และหัวบีท เป็นต้น


แต่ก็ควรล้างผักเหล่านี้อย่างถูกวิธีเพื่อลดความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อโรคและสารเคมีอีก อย่างไรก็ตาม การรับประทานผักในความเป็นจริงแล้วอาจไม่จำเป็นต้องเลือกรับประทานอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่สามารถรับประทานผักทั้งสองรูปแบบเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายและครบถ้วน หากต้องการปรุงผักให้สุก ควรเลือกปรุงด้วยการนึ่ง ย่าง หรือผัดแทนการต้มเพื่อลดปริมาณสารอาหารที่อาจเสียไปจากการละลายน้ำ หากต้องการรับประทานผักสด ควรล้างผักด้วยน้ำสะอาดที่ไหลผ่านตลอด และใช้มือลูบผักเบา ๆ เพื่อล้างเชื้อโรคและสารเคมีให้หลุดออกง่ายขึ้น

 
อย่างไรก็ตาม เราทุกคนควรพยายามรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และรับประทานในแต่ละหมู่ให้มีความหลากหลาย  ไม่จำเจอยู่เพียงอาหารไม่กี่ชนิด  เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆ ครบในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บด้วย

 

4
หมอประจำบ้าน: คอหอยอักเสบ (Pharyngitis) ทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis)

การอักเสบของคอหอยและทอนซิล มักทำให้เกิดอาการเจ็บคอเป็นสำคัญ และเกิดจากสาเหตุได้หลากหลาย ซึ่งมีทั้งกลุ่มโรคติดเชื้อและกลุ่มโรคไม่ติดเชื้อ (ตรวจอาการ เจ็บคอ ประกอบ)

ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะการอักเสบจากโรคติดเชื้อ ซึ่งเกิดจากไวรัสและแบคทีเรียเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า บีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ (group A betahemolytic Streptococcus)* ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

* เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Streptococcus pyogenes


สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งไวรัสอื่น ๆ อีกหลายชนิด บางส่วนเกิดจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งมีอยู่หลายชนิด เชื้อมีอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสมือผู้ป่วย สิ่งของ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อแบบเดียวกับไข้หวัด

เชื้อแบคทีเรียที่สำคัญ คือ บีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ ก่อให้เกิดทอนซิลอักเสบชนิดเป็นหนอง (exudative tonsillitis) ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กอายุ 5-15 ปี และอาจพบในผู้ใหญ่เป็นครั้งคราว แต่จะพบได้น้อยในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี โรคนี้อาจติดต่อในกลุ่มคนที่อยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิดเป็นเวลานาน เช่น ตามโรงเรียน หอพัก เป็นต้น

ระยะฟักตัว 2-7 วัน

อาการ

กลุ่มที่มีสาเหตุจากไวรัส จะมีอาการเจ็บคอเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ไม่เจ็บตอนกลืน อาจมีอาการเป็นหวัด น้ำมูกใส ไอ เสียงแหบ มีไข้ ปวดศีรษะเล็กน้อย ตาแดง บางรายอาจมีอาการท้องเดินหรือถ่ายเหลวร่วมด้วย

ผู้ป่วยที่เป็นทอนซิลอักเสบจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ จะมีอาการไข้สูงเกิดขึ้นฉับพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอมากจนกลืนน้ำและอาหารลำบาก อาจมีอาการปวดร้าวไปที่หู บางรายอาจมีอาการปวดท้องหรืออาเจียนร่วมด้วย มักจะไม่มีอาการน้ำมูกไหล ไอ หรือตาแดงแบบการอักเสบจากไวรัส


ภาวะแทรกซ้อน

กลุ่มที่มีสาเหตุจากไวรัส ส่วนใหญ่จะไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ส่วนผู้ที่เป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ เป็นต้น

ผู้ป่วยที่เป็นทอนซิลอักเสบจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ อาจมีภาวะแทรกซ้อน ดังนี้

1. เชื้ออาจลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียงทำให้หูชั้นกลางอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองที่คออักเสบ จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบ ฝีทอนซิล (peritonsillar abscess) ซึ่งอาจโตจนทำให้กลืนลำบากหรือหายใจลำบาก

2. เชื้ออาจแพร่เข้ากระแสเลือด ทำให้เป็นข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน กระดูกอักเสบเป็นหนอง (osteomyelitis) เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

3. โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ ไข้รูมาติก และ หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งมักเกิดหลังทอนซิลอักเสบ 1-4 สัปดาห์ โรคแทรกซ้อนเหล่านี้เกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (autoimmune reaction) สำหรับไข้รูมาติกมีโอกาสเกิดขึ้นประมาณร้อยละ 0.3-3 ของผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

กลุ่มที่มีสาเหตุจากไวรัส อาจมีไข้หรือไม่มีไข้ก็ได้ ผนังคอหอยอาจมีลักษณะแดงเพียงเล็กน้อยหรือไม่ชัดเจน ทอนซิลอาจโตเล็กน้อยซึ่งมักจะมีลักษณะแดงเพียงเล็กน้อยหรือไม่ชัดเจน อาจพบมีน้ำมูกใส ตาแดง (เยื่อตาขาวอักเสบ)

ผู้ป่วยที่เป็นทอนซิลอักเสบจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ จะมีไข้มากกว่า 38.3 องศาเซลเซียส ผนังคอหอยหรือเพดานอ่อนมีลักษณะแดงจัดและบวม ทอนซิลบวมโต มีสีแดงจัด และมักมีแผ่นหรือจุดหนองขาว ๆ เหลือง ๆ อยู่บนทอนซิล ซึ่งเขี่ยออกง่าย (ถ้าพบเป็นแผ่นเยื่อสีเทาหรือสีเหลืองปนเทา ซึ่งเขี่ยออกยากและมีเลือดออก ควรนึกถึงคอตีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีอาการไอเสียงแหบ หรือหายใจหอบร่วมด้วย) นอกจากนี้อาจพบต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอด้านหน้าหรือใต้ขากรรไกรบวมโตและเจ็บ

ในรายที่ไม่มั่นใจว่าเกิดจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ เช่น มีเพียงแผ่นหรือจุดหนองบนทอนซิล (ซึ่งอาจเกิดจากไวรัสบางชนิดก็ได้) โดยอาการอื่น ๆ ไม่ชัดเจน อาจต้องส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม ในปัจจุบันมีการตรวจหาเชื้อบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอจากบริเวณคอหอยและทอนซิล ซึ่งสามารถทราบผลภายในไม่กี่นาที เรียกว่า "Rapid strep test" ถ้าให้ผลบวกก็ให้ยาปฏิชีวนะรักษา แต่ถ้าให้ผลลบอาจต้องทำการเพาะเชื้อ ซึ่งจะทราบผลภายใน 1-2 วัน


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. แนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ และใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง ควรให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำซุป นม น้ำหวาน ควรกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ (ผสมเกลือป่นประมาณ 1 ช้อนชา หรือ 5 มล. ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) วันละ 2-3 ครั้ง ถ้าเจ็บคอมากให้ดื่มน้ำเย็นหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ หรืออมก้อนน้ำแข็ง

2. ในรายที่เกิดจากไวรัส (ซึ่งจะมีอาการคอหอยและทอนซิลแดงไม่มาก และมักมีอาการน้ำมูกใส ไอ ตาแดง เสียงแหบ หรือท้องเดินร่วมด้วย) ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้พาราเซตามอล ยาแก้ไอ โดยไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ ก็มักจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์

3. ในรายที่มั่นใจว่าเกิดจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ (ซึ่งจะมีอาการไข้สูงร่วมกับทอนซิลบวมแดงจัด และมีแผ่นหรือจุดหนอง มีต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณใต้ขากรรไกรหรือข้างคอด้านหน้า และไม่มีอาการน้ำมูกไหล ไอ ตาแดง) นอกจากให้การรักษาตามอาการแล้ว แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น เพนิซิลลินวี, อะม็อกซีซิลลิน, อีริโทรไมซิน หรือ ร็อกซิโทรไมซิน) นาน 10 วัน บางรายแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะชนิดกินเพียง 5 วัน เช่น โคอะม็อกซิคลาฟ, อะซิโทรไมซิน หรือ คลาริโทรไมซิน

4. ถ้ามีอาการแทรกซ้อน เช่น หอบ ปวดและบวมตามข้อ เป็นฝีทอนซิล แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมและให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ

5. ในรายที่เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง (ปีละมากกว่า 4 ครั้ง) จนเสียงานหรือหยุดเรียนบ่อย มีอาการอักเสบของหูชั้นกลางบ่อย หรือก้อนทอนซิลโตจนอุดกั้นทางเดินหายใจ อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดทอนซิล (tonsillectomy)

ผลการรักษา ถ้าเกิดจากเชื้อไวรัส ให้การรักษาตามอาการมักจะหายได้ภายใน 1 สัปดาห์

ถ้าเกิดจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ เมื่อกินยาปฏิชีวนะได้ครบตามที่แพทย์แนะนำ ก็มักจะหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ถ้ากินไม่ครบหรือได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา ซึ่งหากกลายเป็นหน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน หรือไข้รูมาติก ก็อาจเป็นเรื้อรังหรือมีภาวะร้ายแรงได้


การดูแลตนเอง

หากมีอาการไข้ร่วมกับเจ็บคอมาก ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นทอนซิลอักเสบ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนี้

    พักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ ห้ามอาบน้ำเย็น และใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง
    กินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำซุป นม น้ำหวาน
    กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ (ผสมเกลือป่นประมาณ 1 ช้อนชา หรือ 5 มล. ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) วันละ 2-3 ครั้ง
    ถ้าเจ็บคอมากให้ดื่มน้ำเย็นหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ หรืออมก้อนน้ำแข็ง
    กินยาบรรเทาตามอาการ (เช่น ยาลดไข้) และกินยาปฏิชีวนะ (ในรายที่แพทย์วินิจฉัยว่าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย) ให้ครบตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด

ควรกลับไปพบแพทย์ หากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อนี้ 

    มีอาการผิดสังเกตแทรกซ้อนตามมา เช่น ปวดศีรษะมาก ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว ชัก ปวดหู หูอื้อ กลืนลำบาก ปวดที่โหนกแก้มหรือหัวคิ้ว หายใจหอบ เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ปวดบวมตามข้อ มีผื่นขึ้นตามตัว เท้าบวม ปัสสาวะสีแดง เป็นต้น
    ดูแลรักษา 3-4 วันแล้ว อาการไม่ดีขึ้น
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

เมื่อมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ ควรปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัด เช่น ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการไอหรือจามรดผู้อื่น คนที่ยังไม่ป่วยอย่าอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย อย่าใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วย และหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ เป็นต้น

ข้อแนะนำ

1. อาการเจ็บคอ คอหอยอักเสบ ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส และโรคไม่ติดเชื้อ (เช่น โรคภูมิแพ้ การระคายเคือง โรคน้ำกรดไหลย้อน เป็นต้น) ซึ่งไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ ดังนั้น ถ้าพบคนที่มีอาการเจ็บคอ แพทย์จะซักถามอาการอย่างละเอียด และตรวจดูคอหอยทุกรายเพื่อแยกแยะสาเหตุให้ชัดเจน จะใช้ยาปฏิชีวนะต่อเมื่อมั่นใจว่าเป็นทอนซิลอักเสบจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอเท่านั้น หากไม่มั่นใจก็จะส่งตรวจพิเศษ (เช่น การตรวจหาเชื้อด้วยวิธี rapid strep test, การเพาะเชื้อ)

2. สำหรับทอนซิลอักเสบจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ ควรเน้นให้กินยาปฏิชีวนะจนครบตามระยะที่กำหนดตามที่แพทย์แนะนำ ถึงแม้หลังให้ยาไป 2-3 วันแล้วอาการเริ่มทุเลาแล้วก็ตาม หากให้ไม่ครบนอกจากทำให้โรคกำเริบได้บ่อยแล้วยังอาจเกิดโรคแทรกซ้อน ได้แก่ ไข้รูมาติก และหน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งแม้จะพบได้น้อยแต่ก็เป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรง

ผู้ป่วยควรแยกตัว อย่าอยู่ใกล้ชิดผู้อื่น จนกว่าจะให้ยาปฏิชีวนะไปแล้วอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จึงจะไม่แพร่เชื้อให้คนอื่น

ในปัจจุบันการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องมักได้ผลดี โอกาสที่จะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดทอนซิลจึงลดน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก

3. ถ้าให้ยาปฏิชีวนะรักษาทอนซิลอักเสบแล้วไม่ดีขึ้น อาจเกิดจากสาเหตุอื่น รวมทั้งเมลิออยโดซิส ซึ่งพบบ่อยในคนอีสานที่มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน (ดูเมลิออยโดซิส)

4. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

5
รถยนต์ไฟฟ้า DEEPAL E07 รถเอสยูวีไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ เปิดตัวด้วย 2 รุ่นย่อยกับราคาแนะนำเริ่มต้นที่ 1.599 ล้านบาท

ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) สร้างปรากฏการณ์ที่ The 41st Thailand International Motor Expo 2024 ด้วยการเปิดตัว DEEPAL E07 ยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่แห่งอนาคตที่มาพร้อมดีไซน์ล้ำยุคและสมรรถนะที่โดดเด่น พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ระดับโลก Vast Ocean Plan ซึ่งช่วยขยายธุรกิจจากภูมิภาคอาเซียนไปยังยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา โอเชียเนีย และประเทศไทยเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน ตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก 

นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด กล่าวว่า "ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ ปีที่ผ่านมาเป็นปีสำคัญของ CHANGAN ในประเทศไทย เราได้เปิดตัวแผนระดับโลก Vast Ocean Plan ซึ่งช่วยขยายธุรกิจจากภูมิภาคอาเซียนไปยังยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา โอเชียเนีย และประเทศไทย เราภูมิใจในการเฉลิมฉลองครบรอบ 1 ปีของ CHANGAN Thailand โดยในงาน Motor Expo 2023 ที่ผ่านมา เราได้เปิดตัว DEEPAL S07 และ L07 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากตลาดไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์"

CHANGAN ขับเคลื่อนความยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ Vast Ocean Plan ที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาทในประเทศไทย รวมถึงการสร้างโรงงานผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ที่ระยอง และการจัดตั้งหน่วยธุรกิจ 3 หน่วย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในภูมิภาค ความมุ่งมั่นในด้านความยั่งยืนสะท้อนผ่านการลดการปล่อย CO2 โดยยอดขายยานยนต์พลังงานใหม่ของ CHANGAN ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 10,000 ตัน จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ CHANGAN ยังร่วมมือกับซัพพลายเออร์ในประเทศไทยกว่า 300 ราย ส่งเสริมการผลิตในประเทศมากกว่า 50% โดยพนักงานกว่า 80% เป็นคนไทย สร้างงานในห่วงโซ่อุปทานกว่า 20,000 ตำแหน่ง และจ่ายภาษีมากกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทย ในเดือนกันยายน 2024 ที่ผ่านมา CHANGAN ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดตัว AVATR แบรนด์รถ SUV ระดับหรูที่มุ่งเน้นการผสมผสานความสง่างาม นวัตกรรม และความคุ้มค่า โดยรุ่น AVATR 11 ได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งผู้บริโภคและสื่อมวลชน ด้วยดีไซน์ที่ล้ำยุค เทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมด้วยสมรรถนะอันยอดเยี่ยม

สำหรับไฮไลต์ในงานครั้งนี้ DEEPAL ได้เปิดตัว DEEPAL E07 รถ SUV ไฟฟ้าที่ออกแบบเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ สะท้อนแนวคิด BE YOURSELF, DRIVE YOUR WAY ถูกพัฒนาบนแพลตฟอร์มอัจฉริยะ SDA ที่มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ที่แตกต่างในสถานการณ์และบทบาทที่หลากหลาย และทำให้รถยนต์เปลี่ยนไปสู่หุ่นยนต์อัจฉริยะที่จะมอบความสะดวกสบายสู่ผู้ใช้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ด้วยดีไซน์ภายนอกดีไซน์สุดแกร่ง สไตล์โมเดิร์น ทำให้ตัวรถมีขนาดใหญ่ที่ยาวกว่า 5 เมตร และกว้างเกือบ 2 เมตร แต่ก็มีความสปอร์ตและลู่ลม แต่ก็ยังคงความแข็งแกร่งด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านลมต่ำเพียง 0.237 และจะมากับราวหลังคาอเนกประสงค์, ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 21 นิ้ว พร้อมฝาครอบล้อ, มือจับประตูไฟฟ้าแบบซ่อน, ฝาปิดช่องชาร์จไฟเปิด-ปิดได้แบบไฟฟ้า, ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ Star Ring LED ที่ดูล้ำสมัย, ช่องเก็บสัมภาระใต้ฝากระโปรงหน้าขนาดใหญ่ถึง 131 ลิตรและหลังคากระจกบริเวณท้ายรถ ฝาท้าย และกระจกหลังเปิด-ปิดแบบไฟฟ้า ที่สามารถปรับรูปแบบได้หลากหลายให้เหมาะกับการใช้งาน

ดีไซน์ภายในของ DEEPAL E07 นั้นเปลี่ยนห้องโดยสารให้เป็นห้องต่าง ๆ ได้ตามต้องการ ทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น และระเบียงด้วยแผงกั้นและกระจกกั้นห้องโดยสารกับท้ายรถแบบเปิด-ปิดได้, ตัวพวงมาลัยสามารถปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อมปุ่ม Shortcut และ เบาะนั่งแบบ Zero Gravity ในคู่หน้าพร้อมที่ดันหลังและที่รองขาปรับไฟฟ้าพร้อมระบบระบายอากาศ, หลังคากระจกแบบพาโนรามาพร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า, Head-up Display ขนาดใหญ่เพื่อแสดงข้อมูลการขับขี่, หน้าจอสัมผัสแบบ Sunflower ขนาด 15.4 นิ้ว สามารถปรับทิศทางเข้าหาคนขับหรือผู้โดยสารด้านหน้าได้ ระบบเสียงอัจฉริยะหลากหลายโหมดพร้อมลำโพง 18 ตำแหน่ง, ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายขนาด 50 วัตต์ พร้อมระบบระบายอากาศ, ไฟบรรยากาศแบบเปลี่ยนสีได้ 256 สี ที่มาพร้อมฟังก์ชันปรับเปลี่ยนตามจังหวะ, โหมดสถานการณ์ เช่น โหมดแสดงแสงสีเสียง โหมดงีบหลับ โหมดแคมป์ปิ้ง เป็นต้น

DEEPAL E07 ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ในขณะนี้เปิดตัวมาด้วยกัน 2 รุ่น คือ Plus และ Performance AWD โดยรุ่น Plus นั้นจะขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง ด้วยมอเตอร์ที่ให้กำลัง 342 แรงม้า แรงบิด 365 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 6.7 วินาที มีระยะทางวิ่งสูงสุด 640 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) ส่วนรุ่น Performance AWD นั้นจะขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) ให้กำลัง 598 แรงม้า แรงบิด 645 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.96 วินาที มีระยะทางวิ่งสูงสุด 590 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) ทั้ง 2 รุ่นจะมากับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 89.98 กิโลวัตต์-ชั่วโมง รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้าแบบ DC สูงสุดในการชาร์จแบบ DC 240 กิโลวัตต์ (30% - 80%) ใน 15 นาที โดยในรุ่น Performance AWD จะได้ช่วงล่างแบบถุงลมและระบบปรับความหนืดช่วงล่างอัจฉริยะมาด้วย

DEEPAL E07 ยังโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมาย อาทิ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ ถึง 5 ระบบ ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผันแบบผสมผสาน, ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน, ระบบช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติเมื่อเปิดไฟเลี้ยว, ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้สิ่งกีดขวางด้านข้าง และระบบช่วยจอดอัจฉริยะเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายถึง 4 ระบบ ประกอบด้วย ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ, ระบบช่วยจอดอัตโนมัติจากระยะไกล, ระบบนำรถเข้า-ออกช่องจอดในแนวตรงจากระยะไกล, ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ รวมถึง17 ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน อาทิ ระบบช่วยเตือนหากเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถที่มุมอับสายตาด้านหน้าและระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถที่มุมอับสายตาด้านหน้า, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนขณะฉุกเฉิน, ระบบช่วยเตือนหากเสี่ยงต่อการโดนชนด้านหลัง, ระบบช่วยแจ้งเตือนมุมอับสายตา, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถที่มุมอับสายตาขณะถอยหลัง, ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถที่มุมอับสายตาขณะถอยหลัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีระบบเลือกโหมดสถานการณ์เพื่อช่วยปรับพื้นที่ห้องโดยสารพร้อมสร้างบรรยากาศที่เหมาะสม โหมดเฝ้าระวังเพื่อช่วยตรวจจับเหตุการณ์ผิดปกติและบันทึกวิดีโอสภาพแวดล้อมรอบ ๆ เมื่อไม่ได้อยู่ที่รถ เป็นต้น อีกทั้งยังมีพื้นที่ภายในที่สะดวกสบาย เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าได้ 14 ทิศทางพร้อมฟังก์ชัน Zero Gravity และระบบระบายอากาศ, กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา พร้อมระบบแสดงภาพตัวรถแบบโปร่งแสง

DEEPAL E07 นั้นประกาศราคาออกมาดังนี้
Plus ราคาช่วงแนะนำที่ 1,599,000 บาท จากราคาปกติที่ 1,699,000 บาท
Performance AWD  ราคาช่วงแนะนำที่ 1,999,000 บาท จากราคาปกติที่ 2,099,000 บาท

และยังเปิดจองล่วงหน้าอีก 3 รุ่นย่อยได้แก่
Plus Limited Edition ราคา 1,890,000 - 1,990,000 บาท (เปิดจองล่วงหน้า)
Performance AWD Limited Edition ราคา 2,290,000 - 2,390,000 บาท (เปิดจองล่วงหน้า)
Legacy ราคา 2,990,000 - 3,090,000 บาท (เปิดจองล่วงหน้า)

ข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ที่จอง DEEPAL E07 มีรายละเอียดดังนี้
สิทธิประโยชน์ สำหรับรถยนต์ DEEPAL E07 รุ่น Plus
แพ็คเกจ DEEPAL Premium Care
ฟรี ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พรบ. 1 ปี 
รับประกันตัวรถ 5 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน ตลอด 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี 
ฟรี การบำรุงรักษา 6 ปี หรือ 6 ครั้ง ยกเว้น ชิ้นส่วนพิเศษ วัสดุสิ้นเปลือง และชิ้นส่วนที่สึกหรอ
แพ็คเกจ DEEPAL Premium Care Plus
ฟรี โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมบริการติดตั้ง 
ฟรี สายชาร์จเคลื่อนที่
ฟรี อินเทอร์เน็ต 10 ปี  (ข้อมูลอินเทอร์เน็ตสำหรับระบบ 1 GB  ต่อเดือน  และข้อมูลสำหรับสื่อบันเทิง 1 GB ต่อเดือน )
พิเศษสำหรับผู้ที่จอง 500 ท่านแรก รับราคาเปิดตัวพิเศษ DEEPAL E07 Plus ราคา 1,599,000 บาท พร้อมรับ Special Gift: เลือกรับไลฟ์สไตล์แพ็คเกจ Outdoor Explorer Pack หรือ Bike & Beyond Kit มูลค่า 60,000 บาท
สิทธิประโยชน์ สำหรับรถยนต์ DEEPAL E07 รุ่น Performance AWD
แพ็คเกจ DEEPAL Premium Care
ฟรี ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พรบ. 1 ปี 
รับประกันตัวรถ 5 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน ตลอด 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี 
ฟรี การบำรุงรักษา 6 ปี หรือ 6 ครั้ง ยกเว้น ชิ้นส่วนพิเศษ วัสดุสิ้นเปลือง และชิ้นส่วนที่สึกหรอ
แพ็คเกจ DEEPAL Premium Care Plus
ฟรี โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมบริการติดตั้ง 
ฟรี สายชาร์จเคลื่อนที่
ฟรี อินเทอร์เน็ต 10 ปี  (ข้อมูลอินเทอร์เน็ตสำหรับระบบ 1 GB  ต่อเดือน  และข้อมูลสำหรับสื่อบันเทิง 1 GB ต่อเดือน )
รับประกัน 10 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร เฉพาะช่วงล่างแบบถุงลมและระบบปรับความหนืดช่วงล่างอัจฉริยะ
พิเศษสำหรับผู้ที่จอง 500 ท่านแรก รับราคาเปิดตัวพิเศษ DEEPAL E07 Performance AWD ราคา 1,999,000 บาท พร้อมรับ Special Gift: เลือกรับไลฟ์สไตล์แพ็คเกจOutdoor Explorer Pack หรือ Bike & Beyond Kit มูลค่า 60,000 บาท
CHANGAN Automobile มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าในไทยและทั่วโลก เราสัญญาว่าจะเดินหน้าสร้างสรรค์ยานยนต์ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโลกที่ยั่งยืน

6
ตรวจสุขภาพ: อัณฑะบิดตัว (Testicular torsion)

อัณฑะบิดตัว หมายถึง ภาวะที่สายรั้งอัณฑะ (spermatic cord) มีการบิดตัวหมุนรอบตัวเอง ทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงอัณฑะ เกิดอาการปวดอัณฑะ หากไม่ได้รับการรักษาได้ทันท่วงที ก็อาจทำให้เนื้อเยื่ออัณฑะตายได้ มักพบที่อัณฑะข้างซ้ายมากกว่าข้างขวา

พบได้ในผู้ชายทุกช่วงอายุ พบบ่อยในช่วงอายุ 12-18 ปี พบน้อยในคนอายุมากกว่า 25 ปี บางครั้งอาจพบในทารกช่วงขวบแรกได้

นอกจากนี้ อาจมีประวัติว่ามีญาติผู้ชายในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย


สาเหตุ

เกิดจากพัฒนาการที่ผิดปกติของสายรั้งอัณฑะและเนื้อเยื่อที่ปกคลุมอัณฑะ ทำให้อัณฑะไม่เกาะแน่นกับผนังด้านในของถุงอัณฑะ อัณฑะจึงสามารถบิดหมุนรอบตัวเมื่ออายุมากขึ้นได้ ซึ่งสาเหตุที่เกิดการบิดตัวของอัณฑะยังไม่ทราบแน่ชัด

พบว่าผู้ป่วยบางรายมีพ่อ พี่ชาย น้องชาย หรือบุตรชายเป็นโรคนี้ด้วย ซึ่งสันนิษฐานว่าภาวะนี้เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางกรรมพันธุ์


อาการ

ผู้ป่วยมักมีอาการปวดอัณฑะข้างหนึ่งอย่างรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันภายในไม่กี่ชั่วโมง บางรายอาจมีอาการปวดที่ตรงกลางท้องน้อย อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย

บางรายอาจมีอาการปวดเกิดขึ้นตอนกลางคืนจนทำให้ผู้ป่วยสะดุ้งตื่น หรือขณะออกกำลังกาย หรือขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ

ผู้ป่วยมักถ่ายปัสสาวะได้เป็นปกติ ไม่มีอาการแสบขัดหรือถ่ายกะปริดกะปรอย


ภาวะแทรกซ้อน

เนื้อเยื่ออัณฑะขาดเลือดตายภายใน 6-12 ชั่วโมง หลังจากเกิดการบิดตัวของสายรั้งอัณฑะ อาจเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนหรือมีบุตรยากได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

อัณฑะที่บิดตัวจะมีอาการอักเสบ บวม กดเจ็บ และยกขึ้นสูงกว่าระดับปกติหรือทำมุมผิดจากปกติ

บางรายอาจพบมีไข้

แพทย์จะวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจอัลตราซาวนด์


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะทำการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขภาวะบิดตัวของอัณฑะ และป้องกันไม่ให้กำเริบซ้ำในภายหลังอีก

การผ่าตัดจะต้องทำภายใน 6-8 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ หากปล่อยทิ้งไว้จนอัณฑะตาย ก็อาจต้องผ่าตัดอัณฑะออกไป


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดอัณฑะรุนแรงหรือเกิดขึ้นฉับพลัน ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นอัณฑะบิดตัว ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    หลังจากแพทย์รักษาด้วยการผ่าตัด รอยแผลผ่าตัดมีอาการอักเสบ แดงร้อน หรือมีเลือดออก
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้มีความผิดปกติโดยกำเนิด

ควรป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม โดยการไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ เมื่อสังเกตว่ามีอาการที่น่าสงสัย

สำหรับผู้ที่มีญาติผู้ชายที่เป็นโรคนี้ควรปรึกษาแพทย์ ถ้าพบว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคนี้ แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดซ่อมแซมให้อัณฑะเกาะแน่นกับถุงอัณฑะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอัณฑะบิดตัวตามมาในอนาคต


ข้อแนะนำ

อาการอัณฑะบวมอาจมีสาเหตุจากไส้เลื่อน ถุงน้ำที่ถุงอัณฑะ อัณฑะอักเสบ มะเร็งอัณฑะ และอัณฑะบิดตัว

ผู้ที่อยู่ ๆ มีอาการอัณฑะข้างหนึ่งปวดและบวมซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันและอย่างต่อเนื่องไม่ทุเลา และอัณฑะข้างที่ปวดยกขึ้นสูงกว่าระดับปกติหรือทำมุมผิดจากปกติ ควรนึกถึงโรคอัณฑะบิดตัวและรีบไปพบแพทย์ทันที

7
มอเตอร์ไซด์ใหม่ ซูซูกิ Suzuki Burgman Street EX ปี 2024
69,900 บาท 

ซูซูกิ Suzuki Burgman Street EX ปี 2024
Suzuki Burgman Street EX น้องเล็ก ในตระกูล Burgman รถจักรยานยนต์ Scooter ระดับ First Class ด้วยเครื่องยนต์ 125 cc. ดีไซน์โฉบเฉี่ยว เรียบหรู ทันสมัย สะกดทุกสายตา ฟังก์ชั่นครบครัน ตอบโจทย์ทุกความต้องการ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น และเทคโนโลยีล้ำสมัย สะดวก ปลอดภัย มั่นใจ มาพร้อมกับช่องเก็บของทั้งด้านหน้า และใต้เบาะที่มีขนาดใหญ่ถึง 21.5 ลิตร ที่พักเท้ายังคง Concept เดียวกับรุ่นพี่อย่าง Burgman 400 ให้ความสบายระหว่างการขับขี่ เพลิดเพลินกับทุกการเดินทาง ไม่ว่าระยะทางจะใกล้หรือไกล

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์               Suzuki
   รุ่น                    ซูซูกิ Suzuki Burgman Street EX ปี 2024
   ประเภทรถ           รถครอบครัวแบบสกู๊ตเตอร์
   ปีที่เปิดตัว            2024
   ราคา                69,900 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์             เกียร์ออโต้
   ระบบเกียร์               CVT
   รายละเอียดเครื่องยนต์        1-Cylinder, OHC, 2-Value
   ระบบระบายความร้อน          อากาศ
   ระบบสตาร์ท                    สตาร์ทเท้าพร้อมไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)         124.3 CC
   แบบเครื่องยนต์                  4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด                      -
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง            เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), แก๊สโซฮอล์ 91, แก๊สโซฮอล์ E20, เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน                     หัวฉีด
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)            5.5 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน                    ล้อหน้า โช้คอัพแบบ Telescopic, Coil Spring และ Oil Damped, ล้อหลัง โช้คอัพแบบสวิงอาร์มร่วมกับ Coil Spring และ Oil Damped
   ระบบเบรค                          ล้อหน้า ดิสก์เบรก (), ล้อหลัง ดรัมเบรก ()
   แบบวงล้อ                            แม็ก
   ขนาดยาง                         ล้อหน้า 90/90-12 54J Tubeless, ล้อหลัง 100/80-12 56J Tubeless
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)     1,875 x 700 x 1,140 มม.
   น้ำหนักตัวรถ                       111.00 กก.

8
การจัดฟันเด็ก หลักการเลือกคลินิกและต้องเลือกหมอที่มั่นใจได้

การจัดฟันเด็กเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเด็กมีลักษณะทางกายภาพและจิตใจที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ การเลือกคลินิกและทันตแพทย์ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดี

หลักการของคลินิกจัดฟันเด็กที่ดี

ความเชี่ยวชาญของทันตแพทย์:
ทันตแพทย์จัดฟันเด็กควรมีความรู้และประสบการณ์ในการรักษาเด็กโดยเฉพาะ
ควรมีทักษะในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก เพื่อให้เด็กไม่รู้สึกกลัวหรือกังวล

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม:
คลินิกควรมีบรรยากาศที่อบอุ่น เป็นกันเอง และตกแต่งให้เหมาะกับเด็ก
มีอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย ปลอดภัย และเหมาะสำหรับเด็ก

การวางแผนการรักษาที่เหมาะสม:
ทันตแพทย์ควรประเมินสภาพฟันและขากรรไกรของเด็กอย่างละเอียด และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ควรมีการอธิบายขั้นตอนการรักษาให้เด็กและผู้ปกครองเข้าใจอย่างชัดเจน

การดูแลเอาใจใส่:
ทันตแพทย์และทีมงานควรให้ความใส่ใจในการดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด
มีการติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ และให้คำแนะนำในการดูแลช่องปากที่ถูกต้อง


วิธีเลือกทันตแพทย์จัดฟันเด็กที่มั่นใจได้

ตรวจสอบประวัติและคุณวุฒิ:
ตรวจสอบประวัติการศึกษาและการทำงานของทันตแพทย์
ตรวจสอบว่าทันตแพทย์มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพและมีประสบการณ์ในการจัดฟันเด็ก

สอบถามจากผู้ที่เคยใช้บริการ:
สอบถามจากเพื่อน ญาติ หรือคนรู้จักที่เคยพาเด็กไปจัดฟัน
อ่านรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการในเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย

ปรึกษาทันตแพทย์โดยตรง:
นัดหมายเพื่อปรึกษาทันตแพทย์และสอบถามเกี่ยวกับแผนการรักษา
สังเกตการสื่อสารและการดูแลเอาใจใส่ของทันตแพทย์

พิจารณาจากคลินิก:
ดูความสะอาดคลินิก
ความเอาใจใส่ของพนักงาน
อุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษา


สิ่งที่ผู้ปกครองควรใส่ใจ

ความร่วมมือของเด็ก:
การจัดฟันต้องอาศัยความร่วมมือจากเด็กเป็นอย่างมาก ผู้ปกครองควรให้กำลังใจและสนับสนุนให้เด็กปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์

การดูแลสุขภาพช่องปาก:
ผู้ปกครองควรดูแลและสอนให้เด็กแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธี
ควรพาลูกไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ

ค่าใช้จ่าย:
การจัดฟันมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ผู้ปกครองควรเตรียมค่าใช้จ่ายในการรักษาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
การเลือกทันตแพทย์จัดฟันเด็กที่เหมาะสมและการดูแลอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดี

9
การเลือกใช้ ท่อลมร้อน แบบไหนดีและเหมาะสม

การเลือกใช้ท่อลมร้อนให้เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยมีข้อควรพิจารณาดังนี้:

1. ลักษณะการใช้งาน
งานอุตสาหกรรมหนัก:
หากต้องการความทนทานต่ออุณหภูมิสูงและแรงดันสูง เช่น ในโรงงานผลิตเหล็ก โรงงานปิโตรเคมี หรือโรงไฟฟ้า ควรเลือกใช้ท่อลมร้อนโลหะ (เช่น เหล็ก สแตนเลส หรืออะลูมิเนียม)

งานระบายอากาศทั่วไป:
หากต้องการความยืดหยุ่นในการติดตั้งและราคาประหยัด เช่น ในงานระบายอากาศในอาคาร หรือดูดควันในครัว ควรเลือกใช้ท่อลมร้อนผ้าใบ หรือท่อลมร้อนอะลูมิเนียมฟอยล์
งานดูดฝุ่นหรือขี้เลื่อย:
หากต้องการความยืดหยุ่นและราคาถูก เช่น ในงานดูดฝุ่นหรือขี้เลื่อย ควรเลือกใช้ท่อลมร้อน PVC

2. ขนาดและปริมาณลม

ขนาดของท่อลม:
ควรเลือกขนาดท่อลมให้เหมาะสมกับปริมาณลมที่ต้องการระบาย หากต้องการระบายลมปริมาณมาก ควรเลือกท่อลมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

ความยาวของท่อลม:
ควรเลือกท่อลมที่มีความยาวเหมาะสมกับการติดตั้ง หากท่อลมยาวเกินไป อาจทำให้การไหลของอากาศไม่สะดวก

3. วัสดุ

โลหะ (เหล็ก สแตนเลส อะลูมิเนียม):
มีความแข็งแรงทนทาน ทนต่ออุณหภูมิและแรงดันสูง เหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรมหนัก

ผ้าใบ (เคลือบซิลิโคน หรือ PVC):
มีความยืดหยุ่น น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย เหมาะสำหรับงานระบายอากาศทั่วไป

อะลูมิเนียมฟอยล์:
น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ราคาถูก เหมาะสำหรับงานระบายอากาศในอาคาร

PVC:
มีความยืดหยุ่น น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ราคาถูก เหมาะสำหรับงานดูดฝุ่นหรือขี้เลื่อย

4. งบประมาณ
ควรเลือกท่อลมร้อนที่มีราคาเหมาะสมกับงบประมาณ โดยคำนึงถึงคุณภาพและความทนทานของวัสดุ

5. การติดตั้งและบำรุงรักษา

ควรติดตั้งท่อลมร้อนให้ถูกต้องตามคำแนะนำของผู้ผลิต
ควรทำความสะอาดท่อลมร้อนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นละอองและสิ่งสกปรก
ควรตรวจสอบท่อลมร้อนเป็นประจำ เพื่อหารอยรั่วหรือรอยชำรุด

คำแนะนำเพิ่มเติม
หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกและติดตั้งท่อลมร้อนที่เหมาะสมกับการใช้งาน
ควรพิจารณามาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรฐาน ASTM, EN, SMACNA, ASHRAE, UL, หรือ NFPA
หากต้องการลดการสูญเสียพลังงาน ควรเลือกท่อลมที่มีฉนวนกันความร้อน

หากพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านการติดตั้ง เช่น เพดานต่ำ ควรเลือกท่อลมแบบยืดหยุ่นหรือท่อลมผ้า เนื่องจากสามารถปรับเปลี่ยนรูปทรงได้ง่าย

10
เครื่องมือจจัดฟันเด็ก EF Line ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้นได้อย่างไร

การจัดฟันในเด็ก ถือเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ที่มีปัญหาของรูปร่างและลักษณะของฟัน ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งต้องบอกก่อนว่า ฟันน้ำนมในเด็กนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันกับฟันแท้ เพราะฟันน้ำนมมีบทบาทสำคัญในลำดับขั้นพัฒนาการของเด็ก นอกจากจะเป็นตำแหน่งที่จะเกิดฟันแท้มาแทนที่ ยังช่วยในเรื่องลักษณะทางกายภาพให้มีโครงสร้างร่างกายเป็นปกติ มีฟันไว้ช่วยบดเคี้ยวอาหาร หากฟันน้ำนมมีสุขภาพดี ไม่ผุกร่อนหรือติดเชื้อ ก็จะส่งเสริมพัฒนาการฟันแท้ที่จะงอกตามมาให้สมบูรณ์แข็งแรงไปด้วย

ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะสอนให้ลูกรู้จักวิธีการดูแลรักษาความสะอาดฟันอย่างถูกวิธี ควรปลูกฝังให้เด็กตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหาฟันในอนาคต หากบุตรหลานของท่านมีปัญหาในเรื่องของความผิดปกติในเรื่องของรูปร่างฟัน หรือลักษณะของฟันที่มีความผิดปกติ ก็ควรที่พาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อเตรียมตัวเข้ารับการจัดฟัน เพราะการจัดฟันในเด็กนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 4-7 ขวบ

ซึ่งเด็กที่มีอายุ 4-7 ขวบ ทันตแพทย์อาจจะใช้เครื่องมือการจัดฟันเด็กที่เราเรียกว่า EF Line ในการรักษา ซึ่งเครื่องมือชนิดนี้ สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแก้ปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น รวมถึงจัดการฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็นตามธรรมชาติ ซึ่งวันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงในเรื่องของการปรับตำแหน่งลิ้น โดยการใช้เครื่องมือ EF Line เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคน อาจจะยังสงสัยว่า EF Line จะสามารถช่วยปรับตำแหน่งลิ้นได้อย่างไร

ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงเครื่องมือ EF Line ก่อนว่าเครื่องมือดังกล่าวนี้ ทำหน้าที่อะไรบ้าง และมีการทำงานอย่างไร สำหรับเครื่องมือEF Line เป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหาในเรื่องของกล้ามเนื้อที่มีการทำงานที่ผิดปกติ ช่วยเสริมสร้างในเรื่องของการปรับรูปของกระดูกช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ซึ่งเราทราบกันอยู่แล้วว่า กระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่าง มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่จะมากน้อยแค่ไหนนั้น ก็อยู่ที่ช่วงของอายุของเด็ก ดังนั้น ตามหลักแล้ว หากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้อง ทำการแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต ซึ่งในปัจจุบันเราพบว่ากล้ามเนื้อใบหน้าและลิ้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง ขนาด และการทำงานของกระดูกขากรรไกร ดังนั้น ทางทันตกรรมจึงได้มีการออกแบบเครื่องมือ

เพื่อทำการแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อ ซึ่งต้องร่วมกับการฝึกโดยการออกกำลังกายกล้ามเนื้อ การปรับเปลี่ยนวิธีการหายใจ ซึ่งเครื่องมือ EF Line สามารถใช้ได้ในเด็กตั้งแต่อายุ 4 – 15 ปี โดยเครื่องมือในกลุ่มนี้มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยว กระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า

สำหรับการช่วยในเรื่องของปรับตำแหน่งลิ้นนั้น เด็กที่มีปัญหาในเรื่องของการกลืนที่ผิดปกติและตำแหน่งของลิ้นที่ผิดปกติ  ในขณะกลืนจะยื่นลิ้นออกมาอยู่ระหว่างปลายฟันหน้าบนและล่าง ต้องพิจารณาจากขนาดของลิ้น โดยลิ้นอาจมีขนาดใหญ่ผิดปกติ เนื่องจากโรคทางระบบและตำแหน่งของลิ้นในขณะพักตำแหน่งของลิ้นที่ปกติอาจเป็นผลจากขบวนการปรับตัว มักพบในคนไข้ภูมิแพ้ มีการอุดตันของช่องจมูก ขากรรไกรบนแคบมาก ความสูงของใบหน้ามากผิดปกติควรมาพบทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไข ฟันหน้าห่าง การสบฟันหลังคร่อม การพูดออกเสียงไม่ชัด และเกิดการพัฒนาใบหน้าแนวดิ่งมากกว่าปกติ

 ดังนั้น หลักการทำงานของ  EF Line ก็คือ ในขณะที่สวมใส่เครื่องมืออยู่ในปาก นาน 2 ชั่วโมง ในเวลากลางวัน และ 10 ชั่วโมง ในเวลาหลับตอนกลางคืน EF Line จะบังคับให้ขากรรไกรล่างอยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์กับขากรรไกรบน เป็นผลให้เกิดการปรับตัวของกล้ามเนื้อต่าง ๆ โดยรอบ สู่สภาวะใหม่ที่สมดุล ซึ่งก็เป็นผลย้อนกลับไป เป็นการควบคุมตำแหน่งของกระดูกขากรรไกรที่เปลี่ยนไปให้สมดุลด้วย  หากใครสนใจ พาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กด้วย EF Line สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการทันตกรรมในเด็ก สามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง เพราะเราอยากให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่มากขึ้น

11
วัดปากลำขาแข้งชมโบสถ์แสตนเลสหนึ่งเดียวในโลกเหมาะใส่ชุดขาวปฏิบัติธรรม หลุดพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง

วัดปากลำขาแข้งมีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปเก่าแก่และสวยงามหลายองค์ โดยเฉพาะพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่และมีความงดงามมาก วัดปากลำขาแข้งยังมีภาพเขียนฝาผนังที่สวยงามและมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจใส่ชุดขาว ชุดขาวชาย ชุดขาวหญิง ชุดขาวปฏิบัติธรรม มาเที่ยววัดปากลำขาแข้งดึงดูดผู้มาเยือนด้วยสถาปัตยกรรมอันตระการตา

วัดปากลำขาแข้งตั้งอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรีเป็นวัดที่มีความเงียบสงบ ดึงดูดผู้มาเยือนด้วยสถาปัตยกรรมอันตระการตา ประวัติศาสตร์อันยาวนาน และสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ หากคุณกำลังมองหาสถานที่พักผ่อนทางจิตวิญญาณ หรือเพียงแค่สถานที่สำหรับสัมผัสกับธรรมชาติ วัดแห่งนี้มอบประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์ที่คุ้มค่าแก่การสำรวจ

ความงามทางสถาปัตยกรรม
วัดปากลำขาแข้งมีการออกแบบที่ประณีตบรรจงสะท้อนถึงสถาปัตยกรรมไทยแบบดั้งเดิม ห้องโถงหลักของวัดประดับด้วยจิตรกรรมฝาผนังและรูปปั้นที่สวยงาม แสดงให้เห็นถึงฝีมือของช่างฝีมือท้องถิ่น ผู้เยี่ยมชมสามารถชื่นชมการแกะสลักที่ประณีตและสีสันสดใสที่ทำให้โครงสร้างดูมีชีวิตชีวา ทำให้เป็นฉากหลังที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ

การพักผ่อนอันสงบสุข
วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจีของจังหวัดกาญจนบุรี เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการทำสมาธิและไตร่ตรอง บรรยากาศที่เงียบสงบทำให้ผู้มาเยือนหยุดนิ่งและเชื่อมต่อกับตัวตนของตนเอง ความงดงามทางธรรมชาติโดยรอบ รวมถึงแม่น้ำที่อยู่ใกล้เคียงช่วยเพิ่มบรรยากาศอันเงียบสงบของวัด ทำให้เป็นสถานที่หลบหนีจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี

ความสำคัญทางวัฒนธรรม
วัดปากลำขาแข้งไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมในฐานะศูนย์กลางการปฏิบัติธรรมทางพุทธศาสนา พระสงฆ์ในท้องถิ่นประจำอยู่ที่วัด คอยให้คำสอนและคำแนะนำแก่ผู้มาเยี่ยมชมที่ต้องการเติบโตทางจิตวิญญาณ การพูดคุยกับพระสงฆ์และเข้าร่วมการทำสมาธิสามารถช่วยให้คุณเข้าใจปรัชญาและการปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนาได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

วิธีการเดินทาง
วัดปากลำขาแข้งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีประมาณ 20 กิโลเมตร สามารถเดินทางไปได้สะดวกทั้งทางรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ เส้นทางชมทิวทัศน์ชนบทช่วยเพิ่มอรรถรสในการเที่ยวชม โดยสามารถชมนาข้าวและภูเขาอันงดงามตลอดทาง

เคล็ดลับสำหรับผู้เยี่ยมชม
เคารพกฎเกณฑ์ : เนื่องจากเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม ผู้เยี่ยมชมจึงควรแต่งกายสุภาพและประพฤติตนให้เกียรติ ซึ่งรวมถึงต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าไปในพื้นที่บางส่วนและงดการสนทนาเสียงดัง
สำรวจบริเวณโดยรอบ : ใช้เวลาสำรวจบริเวณโดยรอบวัด รวมทั้งริมฝั่งแม่น้ำและเส้นทางเดินป่าที่อยู่ใกล้เคียง ทัศนียภาพธรรมชาติเหมาะสำหรับการเดินเล่นชิลล์ๆ และสูดอากาศบริสุทธิ์
ลองชิมอาหารท้องถิ่น : อย่าพลาดโอกาสที่จะลองชิมอาหารท้องถิ่นที่ร้านอาหารใกล้เคียง กาญจนบุรีขึ้นชื่อในเรื่องอาหารไทยแสนอร่อย และมีตัวเลือกให้เลือกมากมาย

วัดปากลำขาแข้งเป็นอัญมณีที่ซ่อนเร้นอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมอบการผสมผสานระหว่างจิตวิญญาณ ความงามตามธรรมชาติ และความสำคัญทางวัฒนธรรมให้แก่ผู้มาเยือน ไม่ว่าคุณกำลังมองหาสถานที่พักผ่อนอันเงียบสงบหรือความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับประเพณีทางพุทธศาสนา วัดแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาดซึ่งจะสร้างความประทับใจไม่รู้ลืม วางแผนการเยี่ยมชมของคุณวันนี้และดื่มด่ำไปกับความเงียบสงบของสถานที่อันน่าหลงใหลแห่งนี้

12
ซ่อมบำรุงอาคาร: ขั้นตอน DIY. เปลี่ยนหลอดไฟเก่า เป็นหลอด LED

หลอดไฟที่บ้านของคุณเปลี่ยนเป็นหลอดไฟ LED แล้วหรือยัง ถ้า ยัง บทความนี้ จะช่วยในการตัดสินใจของคุณได้ เพราะเราได้นำ 10 สาเหตุที่คุณควรติด หลอดไฟ LED แต่ เราไม่ได้อยากให้คุณเปลี่ยนใจโดยเร็ว เพราะเป็นความชอบของแค่ละบุคคล และวันนี้เราจะพอคุณไม่รู้จัก หลอด LED ให้มากขึ้นกับ บทความ “ขั้นตอน DIY. เปลี่ยนหลอดไฟเก่า เป็นหลอด LED” ว่าเป็นยังไง ไปอ่านกัน

1.หลอด LED มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

คุณสมบัติเด่นของหลอดไฟ LED อย่างแรกเลยก็คืออายุการใช้งานของหลอดไฟประเภทนี้ยาวนานกว่าหลอดไฟทั่ว ๆ ไปเฉลี่ย15,000 ชั่วโมง หรือคิดง่าย ๆ ว่าหากคุณเปิดไฟ LED ติดต่อกัน 2.5 ชั่วโมงต่อวันจะสามารถใช้งานหลอดไฟประเภทนี้ได้นานถึง 15 ปีโดยไม่ต้องเปลี่ยนหลอดใหม่ เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปแน่นอน

2. หลอด LED ประหยัดได้สูงสุดถึง 85%

หลายคนคงตกใจเมื่อเห็นบิลค่าไฟตอนสิ้นเดือนทั้งที่รู้สึกว่าไม่ค่อยได้ใช้ไฟอะไรมากมายแต่ทำไมค่าไฟยังแพงอยู่ ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับหลอดไฟที่เลือกมาใช้เช่นกัน ซึ่งหากบ้านไหนใช้หลอดไฟ LED จะรู้ดีว่าหลอดไฟประเภทนี้ช่วยประหยัดไฟได้มากแม้ราคาต้นทุนจะสูงกว่าหลอดไฟประเภทอื่น ๆ แต่ถ้าลองคำนวณดูที่อายุการใช้งานที่เท่ากันก็เห็นว่าคุ้มค่ากับการลงทุนมากจริง ๆ

3.หลอด LED เปิด-ปิดสวิตช์บ่อยก็ไร้ปัญหา

อาจจะพบว่าบางครั้งต้องรอสักพักใหญ่กว่าหลอดไฟจะติดหลังจากเปิดสวิตช์ไฟ แถมยังต้องระวังการเปิด-ปิดสวิตช์ไฟด้วยเพราะถ้าหากเปิด-ปิดบ่อยเกินไป จะทำให้หลอดไฟนั้น ๆ มีอายุการใช้งานสั้นลงแตกต่างกับหลอดไฟ LED ที่แทบจะไม่เจอปัญหานี้เลย เพราะสามารถเปิด-ปิดสวิตช์ได้มากกว่า 5 หมื่นครั้งโดยไม่มีผลกระทบกับฟลอดไฟ และยังให้แสงสว่างได้ทันทีเมื่อเปิดสวิตช์ไฟด้วย

4.หลอด LED มีหลากหลายดีไซน์ให้เลือกใช้

หลอดไฟและโคมไฟ LED สามารถนำไปประกอบกับของใช้ที่ให้แสงสว่างได้หลากหลายรูปแบบ เพราะการออกแบบหลอดไฟLED ไม่ได้คำนึงแค่เรื่องสายตาเท่านั้น แต่ยังคลอบคลุมไปถึงการสร้างบรรยากาศด้วย ตัวอย่างเช่น คุณนุ๊ก รัชพล ที่ขอยืนยันว่าหลอดไฟประเภทนี้สามารถใช้ได้ทุกจุดในบ้าน ซึ่งนอกจากเขาจะเลือกมาตกแต่งภายในเพื่อสร้างความโดดเด่นเพิ่มมิติและเล่นแสงสีเพื่อปรับให้เข้ากับอารมณ์แล้ว ยังนำไปใช้กับไฟสวนไฟสนามรวมไปถึงสตรีทเฟอร์นิเจอร์ด้วย

5.หลอด LED ไม่มีรังสียูวีที่ทำอันตรายกับผิวและให้แสงสว่างที่สมจริง

ต่อให้ไม่ได้ยืนกลางแดดผิวก็หมองคล้ำลงได้เพราะแสงไฟในบ้าน ยกเว้นแสงที่มาจากหลอด LED ซึ่งนอกจากจะไม่มีรังสียูวีที่คอยทำร้ายผิวเราแล้ว ยังเหมาะที่จะใช้กับสิ่งของหรือวัสดุที่ไวต่อความร้อนหรือแสงด้วย เช่น ในพิพิธภัณฑ์ สถานที่จัดแสดงงานอาร์ตแกลอรี่ โบราณสถาน หรือสถานที่จัดเก็บโบราณวัตถุ ทำให้สีของชิ้นงานไม่ซีดจางจากการโดนแสงไฟลามเลีย พร้อมทั้งให้แสงสว่างที่นุ่มนวล สมจริงอีกด้วย

6.หลอด LED เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ในขณะที่การผลิตหลอดฟลูออเรสเซนต์ประกอบด้วยสารโลหะหนัก เช่น สารปรอท ซึ่งเป็นพิษกับสิ่งแวดล้อมแต่หลอดไฟ LED กลับไม่มีส่วนประกอบของโลหะหนักที่เป็นอันตราย ที่สำคัญไปกว่านั้นคือผลิตด้วยวัสดุที่สามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้ 100% นั่นก็หมายว่าช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ถึง 3 เท่าเลยทีเดียว

7.หลอด LED ใช้วัตต์น้อยแต่ให้แสงสว่างมาก

อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนเริ่มหันมาใช้หลอดไฟ LED กันมากขึ้น เพราะใช้กำลังวัตต์น้อยมากเมื่อเทียบกับหลอดไฟประเภทอื่น ๆ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการนำหลอดไฟ LED เชื่อมต่อเข้ากับระบบแผงโซลาร์เซลล์ และนำไปใช้กับในที่ที่ไฟฟ้าเข้าถึงยาก

8.หลอด LED ไม่ร้อนแม้ตอนใช้งาน

ทั้งหลอดนีออนและหลอดฟลูออเรสเซนต์จะเกิดความร้อนสูงขณะใช้งาน ซึ่งความร้อนของหลอดไฟก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดเพลงไหม้ได้ง่าย แต่หลอด LED กลับลดโอกาสการเกิดอัคคีภัยได้น้อยมาก เพราะไม่เกิดความร้อนแม้ตอนเปิดใช้งาน

9.หลอด LED ไร้ฝุ่นเกาะบังแสงสว่าง

หลอดฟลูออเรสเซนต์มักมีฝุ่นเกาะเป็นประจำเมื่อใช้ไปนาน ๆ และเกิดเงารบกวนสายตาขณะทำงาน แถมบางครั้งยังมีเสียงดังออกมาขณะเปิดไฟ แต่จะไม่เจอกับ 2 ปัญหานี้เลยหากเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED

10.หลอด LED มีความสว่างที่เหมาะกับการทำงาน

ที่สำคัญหลอดไฟ LED ยังให้แสงสว่างที่พอเหมาะกับการทำงาน เหมาะกับการนำไปตกแต่งออฟฟิศ ห้องนอน ห้องน้ำ และตกแต่งห้องอื่นๆได้อีกมากมาย


การแก้ปัญหาของหลอด LED ?

1. หลอด LED กระพริบเกิดจากอะไร และแก้อย่างไร?

เหตุการณ์ทำให้หลอดไฟ LED กระพริบมีหลายปัจจัยมากมายดังนั้นเราจึงนำสาเหตเหล่านี้มีเป็นตัวอย่าง เช่น

1.1 เกิดจากบัลลาสต์เสีย บัลลาสต์ เป็นอุปกรณ์ควบคุมกระแสไฟฟ้าให้ไหลผ่านไปยังหลอดฟลูออเรสเซนต์ และจุดหลอดฟลูออเรสเซนต์ เมื่อไฟที่บ้านมีลักษณะเป็นแสงไฟกระพริบ หรือ ไฟกระพริบไม่หยุด

          วิธีแก้ เริ่มแรกให้ลองถอด บัลลาสต์ออกเสียก่อน หากถอดแล้วไฟหยุดกระพริบ แนะนำให้เปลี่ยนตัวสตาร์ทเตอร์ใหม่ ซึ่งตัวสตาร์ทเตอร์จะทำหน้าที่คอยตัดต่อวงจรสตาร์ท เมื่อมีการเปิดสวิตช์วงจรไฟฟ้า ซึ่งการเปลี่ยนจะช่วยแก้ปัญหาไฟกระพริบได้

1.2 แรงดันและกระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอ เมื่อแรงดันไฟฟ้าไม่เพียงพอส่งผลให้ ไฟ LED กระพริบ เหมือนไฟตก

         วิธีแก้ เจ้าของบ้านต้องสำรวจปริมาณการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ว่ามีการใช้ไฟพร้อมกันในปริมาณที่มากเกินไปหรือไม่ และตัวหม้อแปลงไฟฟ้านั้นมีขนาดเหมาะสมกับปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ภายในบ้านด้วยหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่แล้วบางบ้านนิยมใช้หม้อแปลงไฟเก่า ที่มีขนาดแรงดัน และกระแสไฟไม่เหมาะสม จึงทำให้ ไฟกระพริบไม่หยุด

1.3 ตรวจสอบการติดตั้งหลอดไฟกับ ฮีทซิ้งค์ (แผงกันความร้อน) โดยเฉพาะหลอดไฟ LED หากติดตั้งโดยการยึดน็อตเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ทาซิลิโคนไว้ที่ตำแหน่งใต้ฐานหลอด กับตัวฮีทซิงค์ จะทำให้เกิดความร้อนสะสม จนส่งผลให้ ไฟ LED กระพริบ เหมือนไฟตก

          วิธีแก้ ควรทานซิลิโคนกันร้อนไว้ใต้ ฐานลองไฟ  เพื่อดับความร้อนของหลอดไฟ เพราะ ซิลิโคน สามารถนำเอาความร้อนจากจุดเชื่อมต่อของโลหะได้ดี ทำให้ความร้อนเกิดการถ่ายเทจากหลอดไฟ LED ผ่านไปยัง ฮีทซิ้งค์ (แผงกันความร้อน) ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ไฟกระพริบ และหลอดไปส่องสว่างเมื่อเปิดใช้งาน

1.4 ความร้อนของหลอดไฟที่ร้อนเกินไป ในลักษณะนี้มักเกิดขึ้นกับหลอดไฟที่ติดตั้ง กับโคมไฟในบ้าน

          วิธีแก้ จำเป็นต้องเลือกโคมไฟ และขนาดของหลอดไฟที่มีขนาดพอเหมาะไม่ใหญ่ หรือเล็กจนเกินไปเมื่อประกอบเข้าใช้งานด้วยกัน เพื่อให้ความร้อนอยู่ในระดับที่พอดี ไม่ร้อนจนเกินไป เพราะจะส่งผลให้เกิดไฟกระพริบ


2. ทำไม ไฟ LED กระพริบ เหมือนไฟตก ตอนปิด?

แม้ว่าหลอด LED จะมีคุณสมบัติในการช่วยประหยัดพลังงานที่คุ้มค่า และเป็นที่นิยมใช้มากกว่าหลอดไส้แบบดั้งเดิม แต่ข้อเสียที่พบบ่อยของหลอดประเภทนี้คือมักเกิดไฟกระพริบเมื่อกดปิดสวิตช์ ซึ่งเหตุผลที่ไฟกระพริบก็มาจากหลายสาเหตุ เช่น การเชื่อมต่อติดตั้งไม่ถูกต้อง หลอดไฟมีความผิดปกติ หรือเกิดจากพลังงานแสงไฟในสวิตช์


3. ไฟกระพริบ แก้อย่างไร?

แก้โดยหาโคมที่มีขนาดเหมาะสมกับหลอดไฟที่ใช้งาน หรือลดจำนวนหลอดไฟให้น้อยลง หรือลองหาวิธีระบายความร้อนให้กับโคมไฟด้วยซีลีโคน หรือ ฮีทซิ้งค์(แผงกันความร้อน) เราแนะนำวิธีง่ายๆ ให้หาที่หนีบผ้าแบบอลูมิเนียม เอามาหนีบที่ฮีทซิ้งค์ของโคมไฟเพื่อช่วยระบายความร้อนก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องความร้อนได้บ้าง หรือจะทำปีกระบายความร้อน ติดพัดลมที่ฮีทซิ้งค์(แผงกันความร้อน) และวิธีอื่นๆ

*** เมื่อพบว่าหลอดไฟLED มีการกระพริบ และที่ตัวหลอดไฟมีความร้อนมากอย่าฝืนใช้งาน ถ้ามีความร้อนที่หลอดมากๆอาจทำให้หลอดไฟเสื่อม และอาจเสียหายได้***


ขั้นตอนเปลี่ยนเป็นหลอด LED ?

ขั้นตอนที่1

     เราควรปิดสวิตไฟก่อนนะคะ แล้วนำไขควงเช็คไฟ ไปเช็คไฟที่สายไฟก่อนว่ามีไฟเข้าอยู่ไหม ปลอดภัยไว้ก่อน

ขั้นตอนที่2

     แล้วใช้ไขควงถอดสายไฟจากขั้วต่อสายไฟหลังจากนั้นก็ใช้ไขควงหมุนคลายน๊อตที่ยึดระหว่างหลอดไฟกับ ฐานโคม ให้หมด (กรณีที่คุณใช้หลอดหลอดฟลูออเรสเซนต์ ก็ให้เอาบัลลาส์ต สตาร์ทเตอร์ ถอดออกให้หมด) ให้เหลือ ฐานโคม กับ สายไฟ

ขั้นตอนที่3

    จากนั้นให้นำหลอดไฟที่เราซื้อไว้ โดยที่เราจะยกตัวอย่าง อย่าง หลอดไฟ SWEEO  Circular-MOD  UFO 35W

ขั้นตอนที่4

     หลังจากนั้นก็จะใช้ตัวเทอมีเนอ หรือเต๋าต่อสายไฟให้โดยไม่ต้องกังวล ว่า ต่อสายบวกหรือลบ ต่อได้เลย

ขั้นตอนที่ 5

     ต่อขั้วเสร็จ เรียบร้อย ให้ทดลอง เปิดปิดไฟดู ถ้าไม่มีปัญหา ก็พร้อมใช้งานได้เลย

13
การตรวจฟันในเด็กเล็กก่อนเข้ารับการจัดฟันเด็ก

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อย ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะที่เอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ สุขภาพฟันถือว่าเป็นสุขอนามัยเบื้องต้น ที่เด็กจะต้องรักษาความสะอาดให้ดี เพราะถ้าหากเกิดฟันผุแล้ว คงไม่ดีต่อตัวเด็กแน่ๆ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาเด็กไปพบทันตแพทย์ ก่อนที่ฟันน้ำนมจะขึ้นครบทั้งยี่สิบซี่ หรือเด็กมีอายุระหว่าง 2-3 ขวบ เมื่อไปพบทันตแพทย์ครั้งแรกนั้น ทันตแพทย์จะพุดคุยกับเด็กก่อน เพื่อสร้างความสนิทสนม สร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน จากนั้นก็จะแนะนำเครื่องมือในการทำฟันต่างๆให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยและไม่กลัว

จากนั้นจึงจะตรวจฟันเด็ก และให้คำแนะนำกับผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีรักษาความสะอาดฟันของเด็ก ตลอดจนอาหารที่ควรรับประทานและการใช้ฟลูออไรด์ ควรพาไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง นี่ถือว่าเป็นการเข้ารับการตรวจฟันทันตแพทย์ในเบื้องต้น เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้แนะนำแนวทางในการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันให้เด็ก เพื่อสร้างความเข้าใจให้เด็กได้รับรู้ถึงความสำคัญของสุขภาพฟัน แต่สำหรับเด็กที่มีปัญหาในเรื่องของฟันนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่หลายคนอจจะกังวลและไม่ทราบว่า จะต้องพูดให้เด็กทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาจึงอาจจะรู้สึกหนักใจ วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของการพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจฟันก่อนเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เป็นแนวทางในการเตรียมตัวและปฏิบัติตัวก่อนพาบุตรหลานขรับการจัดฟันในเด็กกับทันตแพทย์จัดฟัน

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงเรื่องของการพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจฟันก่อนเข้ารับการจัดฟัน ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องฟันน้ำนมของเด็กก่อน เพราะเนื่องจากพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนยังคิดว่า ฟันน้ำนมของเด็กนั้นไม่สำคัญ คิดว่าถ้าถอนทิ้งก็คงไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวก็มีฟันแท้ขึ้นมาแทน ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะฟันน้ำนมมีบทบาทสำคัญมาก ต่อลักษณะการขึ้นของฟันแท้โดยตรงและถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะถาฟันน้ำนมของเด็กหลุดก่อนวัยอันควร ก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดภาวะฟันแท้หายได้เลย ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายและส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพฟันด้วย ดังนั้น เด็กในวัยประถมที่ยังมีฟันน้ำนมก็สามารถจัดฟันได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น หลายปัญหาอาจสามารถหลีกเลี่ยง หรือลดความรุนแรงได้ หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ

สำหรับ การตรวจฟันในเด็กก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองคงจะต้องสร้างทัศนคติที่ดี พูดให้เด็กเข้าใจถึงผลลัพธ์ของการมีสุขภาพฟันที่ดี เพื่อลดความกังวลในเด็กเมื่อต้องเข้าพทันตแพทย์ การพาเด็กไปพบทันตแพทย์มีส่วนช่วยป้องกันฟันผุให้เด็กได้ โดยที่เด็กจะได้ประโยชน์จากการตรวจสภาพช่องปาก และจะทำให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมต่อการดูแลฟันเด็กในแต่ละคน ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะได้เรียนรู้ หรือฝึกการแปรงฟันให้เด็กได้ และยังมีส่วนช่วยให้เด็กเกิดความคุ้นเคยกับทันตแพทย์และให้ความร่วมมือที่ดีต่อการรักษาฟันต่อไป เมื่อถึงเวลาที่เข้ารับการจัดฟัน เด็กจะได้มีความคุ้นชินและลดคาวมกังวลลงได้นั่นเอง

สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาเด็กเข้ามาตรวจกับทันตแพทย์ของทางคลินิกได้เลย เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมที่จะคอยให้คำปรึกษาในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาด พร้อมกับช่วยสร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพฟันให้เด็กได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสุขอนามัยในช่องปาก เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีรรอยิ้มที่สดใส มีพัฒนาการที่ดี สสามารถใช้ชีวิตประจำวัน ทำกิจกรรมในแต่ละวันได้อย่างเต็มที่และมีความสุข

14
บ้านเดี่ยว อนาพนา จตุโชติ (Anapana Chatuchot)
เริ่มต้น 8 ลบ. 

อนาพนา จตุโชติ (Anapana Chatuchot)
อนาพนา จตุโชติ บ้านโครงการใหม่จาก สัมมากร บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern tropical life อาณาเขตแห่งป่า บ้านหลังใหม่ที่เข้าใจทุกความต้องการ พร้อมผสานการใช้ชีวิตเข้ากับธรรมชาติอย่างไร้รอยต่อ บ้านดีไซน์ทันสมัยที่ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศท้องถิ่น เพื่อมอบความสะดวกสบายให้กับคุณในทุกมิติ

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ              อนาพนา จตุโชติ (Anapana Chatuchot)
 เจ้าของโครงการ         สัมมากร
 ราคา                      เริ่มต้น 8 ลบ.

 ประเภทบ้าน           บ้านเดี่ยว
 ลักษณะทำเล          บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนบ้าน           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 แบบบ้านทั้งหมด      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
  เนื้อที่บ้าน             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนที่จอดรถ       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน       คลองสามวา
 ที่ตั้ง       ถนนกาญจนาภิษก แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(หมอชิต - คูคต)(คูคต)
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(คูคต - วงแหวนรอบนอก)(ไม่ระบุ)
ใกล้ทางด่วน (ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ด่านจตุโชติ)
ใกล้ถนนสายหลัก (ถนนจตุโชติ, ถนนลำลูกกา, ถนนรามอินทรา)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Mall
1. แฟชั่นไอส์แลนด์ 10 กม.
2. เดอะ พรอมานาด 10.4 กม.
3. เซ็นทรัล รามอินทรา 16 กม.
4. เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ 18.4 กม.

Lifestyle
1. สายไหม อเวนิว 3.8 กม.
2. เพลินนารี่มอลล์ 10.4 กม.
3. เดอะวอล์ค 15 กม.
4. คริสตัลปาร์ค 19.7 กม.

สถานศึกษา
1. โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เบญจมราชาลัย 1.7 กม.
2. มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น 2.6 กม.
3. โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ สายไหม 3.7 กม.
4. โรงเรียนสาธิตพัฒนา 5.1 กม.

สถานพยาบาล
1. โรงพยาบาลสินแพทย์ 10.8 กม.
2. โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ 11.3 กม.
3. โรงพยาบาลเซ็นทรัลเยนเนอรั 13.7 กม.

15
หมอออนไลน์: โรคลมชัก (Seizures/Epilepsy)/ลมบ้าหมู (Grand mal)

โรคลมชัก เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกี่ยวกับการทำหน้าที่ผิดปกติของสมอง ทำให้เกิดอาการหมดสติ เคลื่อนไหวผิดปกติ รับสัมผัสความรู้สึกแปลก ๆ หรือมีพฤติกรรมผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน ซึ่งจะเกิดขึ้นฉับพลัน เป็นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็กลับหายเป็นปกติได้เอง แต่มักจะมีอาการกำเริบซ้ำเป็นครั้งคราว แพทย์มักจะวินิจฉัยโรคลมชักต่อเมื่อพบว่ามีอาการกำเริบตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป การชักเพียงครั้งเดียวอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ และหายขาดตลอดไป แพทย์จะไม่วินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชัก

โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 0.5-1 ของประชากรทั่วไป พบได้ในคนทุกอายุ แต่มักจะพบเป็นครั้งแรกในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และคนอายุมากกว่า 65 ปี

ในปัจจุบันมีการแบ่งโรคลมชักออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ โรคลมชักเฉพาะส่วน (focal seizures) และโรคลมชักทั่วไป (generalized seizures) แต่ละกลุ่มยังแบ่งเป็นชนิดย่อย ๆ ออกไปอีกหลายชนิด

ในที่นี้จะกล่าวอย่างละเอียดเฉพาะ โรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (tonic-clonic seizures หรือ grand mal seizures) ซึ่งอยู่ในกลุ่มโรคลมชักแบบทั่วไป จะมีอาการชักร่วมกับหมดสติ (ตรงกับที่คนไทยเรียกว่า ลมบ้าหมู) โรคลมชักชนิดนี้จัดว่าเป็นชนิดที่พบได้บ่อย มีความรุนแรงและมีอันตรายมากกว่าชนิดอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากลายเป็นโรคลมชักต่อเนื่อง (status epilepticus) มีโอกาสเสียชีวิตและพิการค่อนข้างสูง

สาเหตุ

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) ซึ่งเป็นโรคลมชักแบบทั่วไปชนิดหนึ่ง เกิดจากการปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าอย่างผิดปกติของเซลล์สมองเพียงจุดใดจุดหนึ่งในสมอง และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังสมองทั้งสองด้าน กระตุ้นให้เกิดอาการชักทั้งตัวและหมดสติชั่วขณะ

โรคลมชักกว่าร้อยละ 50 จะเกิดขึ้นโดยตรวจไม่พบสาเหตุชัดเจน เรียกว่า โรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic seizures) เชื่อว่ามีความพร่องของสารเคมีบางอย่างในการควบคุมกระแสไฟฟ้าในสมอง โดยที่โครงสร้างของสมองเป็นปกติดี ทำให้การทำหน้าที่ของสมองสูญเสียความสมดุล เกิดอาการลมชักขึ้น โรคลมชักชนิดนี้ส่วนใหญ่มักพบมีอาการครั้งแรกในคนอายุ 5-20 ปี และเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ (มักมีประวัติโรคลมชักในครอบครัว)

ผู้ป่วยโรคลมชักส่วนหนึ่งจะตรวจพบสาเหตุชัดเจน เรียกว่า โรคลมชักชนิดทราบสาเหตุ (symptomatic seizures) ซึ่งมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และผู้ที่มีอายุมากกว่า 25 ปีที่เริ่มชักเป็นครั้งแรก มีสาเหตุตามกลุ่มอายุดังนี้

    อาการชักในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี อาจมีสาเหตุจากไข้ (ดู “โรคชักจากไข้”) โรคติดเชื้อในสมอง ความผิดปกติของสมองแต่กำเนิด สมองได้รับการกระทบกระเทือนระหว่างคลอด หรือมีภาวะบางอย่างที่กระทบต่อสมอง เช่น ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นต้น
    ในเด็กเล็กที่มีความบกพร่องด้านพัฒนาการ เช่น ออทิสติก (autism spectrum disorder) สมาธิสั้น (ADHD) กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome) สมองพิการ (cerebral palsy ซึ่งเกิดจากสมองขาดออกซิเจนตอนคลอด) มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคลมชักมากกว่าปกติ
    ในวัยทำงานหรือวัยกลางคน อาจเกิดจากโรคพิษสุรา ยาเสพติด การใช้ยาเกินขนาด
    ในผู้สูงอายุอาจเกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกสมอง โรคสมองเสื่อม ไตวาย หรือตับวายระยะท้าย ความดันโลหิตสูงชนิดร้ายแรง
    ในคนทุกวัยอาจเกิดจากโรคติดเชื้อ (เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มาลาเรียขึ้นสมอง เอดส์) เนื้องอกสมอง ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เลือดออกในสมอง เป็นฝีหรือพยาธิในสมอง สมองอักเสบจากโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune encephalitis) ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดสมอง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ พิษจากยาเกินขนาด (เช่น ยาชาลิโดเคน ยาแก้ซึมเศร้า ทีโอฟิลลีน เป็นต้น)
    ในหญิงตั้งครรภ์อาจเกิดจากครรภ์เป็นพิษ

อาการ

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) ผู้ป่วยอยู่ดี ๆ ก็มีอาการหมดสติ เป็นลมล้มพับกับพื้นทันที พร้อมกับมีอาการกล้ามเนื้อเกร็งทั้งตัว หายใจลำบาก หน้าเขียว ซึ่งจะเป็นอยู่นานไม่กี่วินาทีถึง 20 วินาที ต่อมาก็จะมีอาการชักกระตุกของกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายเป็นระยะ ๆ และมีอาการตาค้าง ตาเหลือก ในระยะแรกมักจะถี่แล้วค่อย ๆ ลดลงตามลำดับจนกระทั่งหยุดกระตุก ในช่วงนี้จะมีอาการน้ำลายฟูมปาก และอาจมีเลือดออก (จากการกัดริมฝีปากหรือลิ้นตัวเอง) อาจมีอาการปัสสาวะหรืออุจจาระราดร่วมด้วย

อาการชักจะเป็นอยู่นาน 1-3 นาที แล้วฟื้นสติตื่นด้วยความรู้สึกมึนงง อ่อนเพลีย บางรายอาจม่อยหลับไปนานเป็นชั่วโมง ๆ

ผู้ป่วยมักจะจำไม่ได้ว่าตัวเองล้มลง

หลังจากม่อยหลับและตื่นขึ้นมาแล้ว อาจมีอาการปวดศีรษะ มึนงง สับสน อ่อนเปลี้ยเพลียแรง หาวนอน ลืมตัว และอาจทำอะไรที่ตัวเองจำไม่ได้ในภายหลัง

บางรายอาจมีอาการเตือน หรือออรา (aura) นำมาก่อนจะหมดสติ เช่น แขนหรือขาชาหรือกระตุกเพียงข้างหนึ่ง หรืออาจเห็นแสงวาบ ได้กลิ่น รส หรือได้ยินเสียงแปลก ๆ หรือมีความรู้สึกกลัวโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น

ผู้ป่วยอาจเกิดอาการชักในเวลากลางวัน หรือหลังเข้านอนตอนกลางคืนก็ได้ บางครั้งเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุกระตุ้น บางครั้งก็พบสาเหตุที่กระตุ้นให้ผู้ป่วยชัก เช่น การอดนอนหรือนอนไม่พอ หิวข้าวหรือกินข้าวผิดเวลา การกินอาหารมากเกินไป ร่างกายเหนื่อยล้า อารมณ์เครียด การดื่มแอลกอฮอล์ การเสพยา (เช่น แอมเฟตามีน โคเคน) การใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาแก้แพ้ลดน้ำมูก-ไดเฟนไฮดรามีน ยาแก้คัดจมูก-สูโดเอฟีดีน ยาแก้ปวด-ทรามาดอล ยาต้านซึมเศร้า เป็นต้น) การมีประจำเดือน การเจ็บป่วย (เช่น ไข้สูง โรคโควิด-19 ไข้หวัด ไซนัสอักเสบ ภาวะขาดน้ำ) การอยู่ในที่ที่มีเสียงอึกทึกหรือมีแสงจ้า หรือแสงวอบแวบ การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ การลืมกินยารักษาโรคลมชัก เป็นต้น


โดยทั่วไป ผู้ป่วยมักมีอาการชักอยู่เพียง 1-3 นาที ก็จะหยุดชัก และฟื้นสติตื่นขึ้น

บางรายที่มีอาการรุนแรง อาจเป็นโรคลมชักต่อเนื่อง (status epilepticus) ซึ่งเป็นภาวะอันตรายร้ายแรง ผู้ป่วยจะชักต่อเนื่องนานกว่า 5 นาทีขึ้นไป หรือมีอาการชักตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปโดยที่ผู้ป่วยไม่มีอาการฟื้นสติในระหว่างช่วงการชักแต่ละครั้ง


โรคลมชักต่อเนื่องมักพบในผู้ป่วยที่เคยกินยารักษาโรคลมชักมาก่อนแล้วขาดยา (หยุดกินยา) ทันที แต่ถ้าพบภาวะนี้ในผู้ที่มีอาการโรคลมชักเป็นครั้งแรก ก็มักจะเป็นโรคลมชักชนิดทราบสาเหตุ เช่น โรคติดเชื้อของสมอง เนื้องอกสมอง สมองพิการ ตกเลือดในสมอง พิษยาเกินขนาด ภาวะถอนแอลกอฮอล์ในผู้ป่วยที่ติดแอลกอฮอล์ ครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว/ลมบ้าหมู อาจมีภาวะแทรกซ้อน ดังนี้

    อาการหมดสติ ล้มฟุบ และชัก อาจทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บ เช่น บาดแผลตามร่างกาย แผลจากการกัดลิ้นตัวเอง กระดูกหัก ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น

ข้อสำคัญคือ อาจทำให้ได้รับอุบัติเหตุขณะขับรถ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ขณะเล่นน้ำหรือว่ายน้ำ ปีนป่ายหรืออยู่ในที่สูง อยู่ใกล้เตาไฟ น้ำร้อนหรือของร้อน ซึ่งอาจทำให้ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงถึงตายได้

    อาจทำให้เกิดการสำลักเศษอาหารลงปอด เกิดปอดอักเสบได้
    ผู้ที่มีอาการชักบ่อย อาจทำให้มีอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน การเรียนหนังสือ และการทำงานได้
    บางรายพบว่ามีความบกพร่องทางอารมณ์และสติปัญญา เช่น ความจำเสื่อม นอนไม่หลับ มีภาวะวิตกกังวล หรือซึมเศร้า
    ในรายที่เป็นโรคลมชักต่อเนื่อง (status epilepticus) หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที ก็อาจทำให้สมองพิการหรือเสียชีวิตได้ ภาวะนี้มีอัตราตายถึงร้อยละ 10-20
    ผู้ที่เป็นโรคลมชักรุนแรงบางรายอาจเกิดภาวะเสียชีวิตกะทันหัน (sudden unexpected death in epilepsy) ขณะมีอาการกำเริบ แม้เกิดอาการขณะอยู่ในที่ที่ปลอดภัย (เช่น บนเตียงนอน) ก็ตาม สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากภาวะร้ายแรง เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ภาวะขาดอากาศหายใจ (suffocation) การสำลักอาหาร เป็นต้น มักเกิดกับผู้ที่ยังควบคุมอาการชักไม่ได้ผลดีและมีการขาดยารักษา ภาวะนี้พบได้ประมาณ 1 รายต่อผู้ที่เป็นโรคลมชักเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) 1,000 รายต่อปี


การวินิจฉัย

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

โดยทั่วไปเมื่อผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาลมักจะหยุดชักแล้ว ซึ่งตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติ ยกเว้นบาดแผลตามร่างกายหรือลิ้น ในกรณีที่มีการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุแทรกซ้อน

ถ้าพบผู้ป่วยขณะมีอาการ ก็จะพบอาการหมดสติ ชักเกร็ง กระตุก น้ำลายฟูมปาก หน้าเขียว

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง หรืออีอีจี (electroencephalogram/EEG) ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เจาะหลัง (lumbar puncture) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ในรายที่มีอาการชักติดต่อกันนานเกิน 5 นาที อาจมีแนวโน้มเป็นอาการแสดงของโรคลมชักต่อเนื่อง แพทย์จะให้การปฐมพยาบาล และฉีดยาแก้ชัก (เช่น ไดอะซีแพม, ลอราซีแพม, ฟีโนบาร์บิทาล, เฟนิโทอิน, ไมดาซีแพม) และให้การรักษาแบบประคับประคอง (เช่น ใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้ออกซิเจน ให้น้ำเกลือ) ตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุ ถ้าตรวจพบว่าเกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ก็จะฉีดกลูโคสขนาด 50% 50-100 มล. เข้าหลอดเลือดดำ

ถ้าหยุดชักแล้ว ให้การรักษาดังข้อ 2

2. ในรายที่ชักเพียงชั่วขณะ หรือหยุดชักจากการดูแลรักษาเบื้องต้น ถ้าเป็นการชักครั้งแรก หรือยังไม่เคยได้รับการตรวจจากแพทย์มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี หรือคนอายุมากกว่า 25 ปี อาจต้องทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง หรืออีอีจี (electroencephalogram/EEG) ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เจาะหลัง (lumbar puncture) เพื่อค้นหาความผิดปกติของสมอง นอกจากนี้หากสงสัยว่ามีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ อาจต้องทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ (เช่น การตรวจนับเม็ดเลือด การตรวจระดับน้ำตาลและเกลือแร่ในเลือด การตรวจเลือดทดสอบการทำงานของตับและไต เป็นต้น) แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ถ้าตรวจพบว่าเป็นโรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุ หากเพิ่งเคยชักมาเพียง 1 ครั้ง แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัว หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการ และเฝ้าสังเกตดูอาการต่อไป โดยยังไม่ให้ยารักษา เนื่องเพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจไม่มีอาการชักอีกตลอดไป (โอกาสชักซ้ำพบได้ประมาณร้อยละ 30-60) ซึ่งไม่คุ้มกับผลข้างเคียงจากยา

แพทย์จะพิจารณาให้ยากันชักแก่ผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบซ้ำครั้งที่ 2 ยาที่นิยมใช้เป็นพื้นฐาน ได้แก่ ฟีโนบาร์บิทาล และเฟนิโทอิน โดยจะเลือกใช้เพียงชนิดใดชนิดหนึ่งก่อน แพทย์จะค่อย ๆ ปรับขนาดยาที่ใช้ขึ้นทีละน้อยจนสามารถควบคุมอาการได้ ถ้าไม่ได้ผลอาจเปลี่ยนไปใช้ยาพื้นฐานอีกชนิดหนึ่ง

แต่ถ้าได้ลองใช้ยาพื้นฐานในขนาดเต็มที่แล้วยังไม่ได้ผล อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ชนิดอื่น เช่น โซเดียมวาลโพรเอต (sodium valproate) คาร์บามาซีพีน (carbamazepine) โทพิราเมต (topiramate) เป็นต้น

ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถควบคุมไม่ให้เกิดอาการกำเริบด้วยยาเพียงชนิดเดียว มีน้อยรายที่อาจต้องให้ยาควบกันตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป

เมื่อปรับยาจนสามารถควบคุมโรคได้แล้ว ผู้ป่วยจะต้องกินยาในขนาดนั้นไปเรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายปี จนปลอดอาการชักแล้ว 2-3 ปี (สำหรับเด็ก) และ 5 ปี (สำหรับผู้ใหญ่) จึงเริ่มหยุดยา โดยค่อย ๆ ลดลงทีละน้อย ห้ามหยุดยาทันที อาจทำให้เกิดโรคลมชักต่อเนื่องเป็นอันตรายได้

เมื่อลดยาหรือหยุดยาแล้ว กลับมีอาการชักใหม่ (พบได้ประมาณร้อยละ 25 ในเด็ก และร้อยละ 40-50 ในผู้ใหญ่) ก็ควรจะกลับไปใช้ยาตามเดิมอีก บางรายอาจต้องกินยาคุมอาการตลอดไป

3. สำหรับผู้ที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชักและกินยารักษามาก่อน ถ้าพบว่ามีอาการชักเพราะขาดยาหรือปรับลดยาเอง ก็ให้กลับไปกินยาตามขนาดที่แพทย์สั่งอยู่เดิม แต่ถ้าผู้ป่วยเกิดอาการชักทั้ง ๆ ที่กินยาตามขนาดที่แพทย์สั่งอยู่แล้ว อาจจำเป็นต้องเพิ่มขนาดยา หรือปรับเปลี่ยนยาใหม่ จนกว่าจะควบคุมอาการได้

4. ในรายที่ใช้ยารักษาไม่ได้ผลหรือทนต่อผลข้างเคียงไม่ได้ แพทย์จะทำการตรวจด้วยวิธีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เพื่อค้นหาตำแหน่งเนื้อสมองที่เป็นจุดกำเนิดการชัก (ปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าผิดปกติ) และทำการผ่าตัดสมองจุดนั้นออกไป  ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ หรือไม่ก็อาจช่วยลดความถี่และบรรเทาความรุนแรงของการชัก หลังผ่าตัดแพทย์จะให้ยากันชักคอยควบคุมอาการต่อไป

ในกรณีที่ผู้ป่วยดื้อต่อยาและการผ่าตัดดังกล่าว แพทย์อาจรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น

    การใช้เครื่องกระตุ้นประสาทเวกัส (vagus nerve stimulation) เป็นการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นประสาทไว้ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอก โดยมีสายไฟต่อกับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 หรือประสาทเวกัส (Vagus Nerve) ซึ่งอยู่ที่บริเวณคอ เมื่ออุปกรณ์ดังกล่าวปล่อยกระแสไฟฟ้าไปยังเส้นประสาทเวกัสและสมอง ก็จะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการชักลงได้ และลดขนาดยากันชักที่ใช้ลงได้
    การกระตุ้นสมองส่วนลึก (deep brain stimulation/DBS) เป็นการผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้า (electrodes) ไว้ที่บริเวณทาลามัสในสมอง โดยต่อกับอุปกรณ์กระตุ้นไฟฟ้าซึ่งฝังอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอก หรือกะโหลก เมื่ออุปกรณ์ดังกล่าวปล่อยกระแสไฟฟ้าไปยังสมอง ก็จะช่วยลดอาการชักลงได้

ผลการรักษา ส่วนใหญ่การใช้ยากันชักมักทำให้สามารถควบคุมโรคได้ดี คือ ปลอดอาการชักได้ ซึ่งอาจต้องใช้ยาต่อเนื่องนานเป็นปี ๆ กว่าจะหยุดยาได้ บางรายหลังหยุดยาอาจมีอาการชักกำเริบได้อีก บางรายอาจดื้อต่อยา และจำเป็นต้องให้การรักษาด้วยวิธีอื่น


การดูแลตนเอง

หากมีอาการชัก ควรให้การปฐมพยาบาล และพาผู้ป่วยไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคลมชักหรือลมบ้าหมู ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินยากันชักทุกวัน ตามขนาดที่แพทย์แนะนำ ควรทำบันทึกการกินยาและการนัดของแพทย์เพื่อกันลืม
    อย่าหยุดยา หรือปรับเปลี่ยนขนาดยา หรือซื้อยากินเอง
    ถ้าลืมกินยาไปเพียงมื้อเดียวหรือวันเดียว ให้เริ่มกินในมื้อต่อไปตามปกติ
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาชนิดอื่นร่วมกับยากันชักโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพราะยาบางชนิดอาจต้านฤทธิ์ยากันชัก ทำให้อาการชักกำเริบได้ บางชนิดอาจเสริมฤทธิ์ยากันชัก ทำให้เกิดพิษขึ้นได้
    ยากันชักบางชนิดอาจต้านฤทธิ์ยาเม็ดคุมกำเนิด ทำให้คุมกำเนิดไม่ได้ผล บางชนิดอาจมีผลทำให้ทารกในครรภ์พิการหรือแท้งได้ ผู้ป่วยที่กินยาคุมกำเนิดหรือมีแผนที่จะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การดูแลที่เหมาะสมต่อไป เช่น ในรายที่กินยาโซเดียมวาลโพรเอต หรือคาร์บามาซีพีน แพทย์จะให้ผู้ป่วยกินยาเม็ดกรดโฟลิก (folic acid) ขนาด 1 มก./วัน ตั้งแต่ระยะก่อนตั้งครรภ์และขณะตั้งครรภ์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการทางระบบประสาทในทารก (neural tube defect)
    หากตั้งครรภ์ หรือเจ็บป่วยอย่างอื่น ควรแจ้งให้แพทย์ที่รักษาทราบ และนำยาที่กินอยู่ไปให้แพทย์ดูด้วย
    ในกรณีที่เปลี่ยนสถานที่รักษา ควรนำประวัติและยาที่กินอยู่ไปให้แพทย์ดูด้วย
    หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการชัก เช่น อย่าอดนอน อย่าอดอาหาร อย่าทำงานเหนื่อยเกินไป ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่กระตุ้นให้เกิดอาการชัก อย่าเข้าไปในที่ที่มีเสียงอึกทึกหรือมีแสงจ้า หรือแสงวอบแวบ หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนทางจิตใจ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    หลีกเลี่ยงการกระทำและสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงอันตราย เช่น ว่ายน้ำ ปีนขึ้นที่สูง อยู่ใกล้ไฟ ใกล้น้ำ ทำงานกับเครื่องจักร ขับรถ ขับเรือ เดินข้ามถนนตามลำพัง เป็นต้น ถ้าจำเป็นต้องว่ายน้ำ ควรมีคนอื่นอยู่ด้วยตลอดเวลา


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีอาการชักกำเริบ
    ขาดยาที่แพทย์สั่งให้ใช้หรือยาหาย
    มีไข้ หรือมีอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ
    มีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา

การปฐมพยาบาลสำหรับโรคลมบ้าหมูหรืออาการชัก

เมื่อพบผู้ป่วยมีอาการชัก ควรให้การปฐมพยาบาลดังนี้

1. ป้องกันอันตราย หรือการบาดเจ็บ โดยให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในพื้นที่โล่งและปลอดภัย ไม่มีสิ่งกีดขวางหรือระเกะระกะอยู่ข้างกาย (ถ้ามีข้าวของที่อยู่รอบบริเวณผู้ป่วยควรเคลื่อนย้ายออกไป) ระวังการตกจากที่สูง และให้อยู่ห่างจากน้ำและไฟ

2. ปลดเสื้อผ้า เข็มขัด เครื่องแต่งกาย เน็กไท ผ้าพันคอให้หลวม

3. จับผู้ป่วยนอนในท่าตะแคง เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง (โดยการผลักลำตัวผู้ป่วย ไม่ใช่การดึงแขนผู้ป่วย อาจทำให้ไหล่หลุดได้) ให้ผู้ป่วยหนุนหมอนหรือผ้าห่ม

4. ถ้ามีเศษอาหาร เสมหะ หรือฟันปลอม ให้นำออกจากปาก ถ้าผู้ป่วยใส่แว่นตาควรถอดออก

5. อย่าใช้วัตถุ (เช่น ไม้ ด้ามช้อน ปากกา ดินสอ) สอดใส่ปากผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้กัดลิ้น เพราะนอกจากไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรแล้ว ยังอาจทำให้ปากและฟันได้รับบาดเจ็บได้

6. อย่าผูกหรือมัดตัวผู้ป่วย อาจทำให้ผู้ป่วยบาดเจ็บได้

7. อย่าปล่อยให้ผู้ป่วยอยู่ตามลำพัง จนกว่าจะหายเป็นปกติ

8. อย่าให้ผู้ป่วยกินอะไรระหว่างชัก หรือหลังชักใหม่ ๆ อาจทำให้ผู้ป่วยสำลักได้


การป้องกัน

โรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic seizures) แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ได้ แต่สามารถป้องกันไม่ให้อาการชักกำเริบได้ ด้วยการกินยารักษาอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อ “การดูแลตนเอง”

โรคลมชักชนิดทราบสาเหตุ (symptomatic seizures) อาจป้องกันด้วยการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือภาวะที่ทำให้ชัก อาทิ

    ป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะจากเหตุต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุทางจราจร การตกจากที่สูง เป็นต้น
    ป้องกันการเกิดโรคพยาธิในสมอง เช่น โรคพยาธิตืดหมู ด้วยการไม่กินเนื้อหมูดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ
    ป้องกันไม่ให้เป็นโรคติดเชื้อที่มีผลต่อสมอง เช่น มาลาเรีย สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
    ป้องกันการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่ใช้ยาเบาหวาน พึงระวังไม่ให้ใช้ยาเกินขนาด หรือกินอาหารผิดเวลา หรืออดอาหาร
    หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัด หรือการใช้สารเสพติดชนิดกระตุ้นประสาท

ข้อแนะนำ

1. โรคลมชักมีหลายชนิด นอกจากโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) ซึ่งมีอาการชักร่วมกับหมดสติ และมีภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้แล้ว ยังอาจมีโรคลมชักชนิดอื่น ๆ ที่ไม่มีอาการหมดสติ หรืออาการชักก็ได้ เช่น มีอาการแขนหรือขาชาหรือกระตุกเพียงข้างเดียว หรือมีอาการกระตุกของมุมปาก ใบหน้า นิ้วมือหรือนิ้วเท้า หรืออาจเห็นแสงวาบ ได้กลิ่น รส หรือได้ยินเสียงแปลก ๆ หรือมีอาการแบบเผลอสติ (สูญเสียการรับรู้สิ่งรอบตัว) หรือเหม่อนิ่งชั่วขณะ เป็นต้น หากพบว่ามีอาการชัก หมดสติ หรืออาการแปลก ๆ ดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

2. ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุหรือลมบ้าหมู ส่วนใหญ่มีทางรักษาให้หายขาดได้ หรือสามารถใช้ยาควบคุมไม่ให้เกิดการชักได้ แต่ต้องกินยาติดต่อกันนานเป็นปี ๆ บางรายอาจต้องกินยาไปตลอดชีวิต ผู้ป่วยควรไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านตามนัดอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจนควบคุมโรคได้แล้ว ผู้ป่วยสามารถทำงาน เรียนหนังสือ เล่นกีฬาหรือออกสังคมได้ตามปกติ รวมทั้งสามารถแต่งงานได้

3. ผู้ป่วยควรเปิดเผยให้เพื่อนที่ทำงานหรือที่โรงเรียนทราบถึงโรคที่เป็น เพื่อว่าเมื่อเกิดอาการชักจะได้ไม่ตกใจ และหาทางช่วยเหลือให้ปลอดภัย พ่อแม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงควรมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของโรคและวิธีช่วยเหลือผู้ป่วย ไม่ควรแสดงความรังเกียจ ควรให้กำลังใจผู้ป่วย และให้เข้าร่วมกิจกรรมในชีวิตประจำวันเช่นคนอื่น ๆ

4. อาการชักอาจมีสาเหตุได้หลากหลาย (ตรวจอาการชัก) แพทย์จะทำการวินิจฉัยแยกแยะให้แน่ชัดก่อนจะสรุปว่าเป็นโรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบในเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ อาจเกิดจากความผิดปกติทางสมอง ส่วนในวัยรุ่นหรือวัยทำงานอาจเกิดจากพิษแอลกอฮอล์หรือยาเสพติด

หน้า: [1] 2 3 ... 46























































แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
ไม่รู้จะขายอะไรดี
อยากขายของดี
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
ขายสินค้าไม่สต๊อกสินค้า
เริ่มขายของออนไลน์
รับทำ seo ด่วน
smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์

โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
โพสกระตุ้นยอดขาย
วิธีกระตุ้นยอดขาย เซลล์
วิธีแก้ปัญหายอดขายตก
เริ่มต้นขายของ
แหล่งรับของมาขายออนไลน์
ขายของออนไลน์อะไรดี
อยากขายของออนไลน์
เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี
โปรโมทเพจร้านค้า

วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่า
ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด
กลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
วิธีการหาลูกค้าของ sale
ทำ SEO ติด Google
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี

ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
หากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
ทําไงให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
เคล็ดลับขายของดี
ค้าขายไม่ดีทำอย่างไรดี
งานโพสโปรโมทงาน
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า